ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คน "ไอที" ขาดแคลนทั่วโลก แนะไทยรับมือ-หาโอกาสในวิกฤต  (อ่าน 2149 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


คน "ไอที" ขาดแคลนทั่วโลก แนะไทยรับมือ-หาโอกาสในวิกฤต

ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดสำหรับปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านไอที แต่นับวันดูจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทยแต่เป็นปัญหาทั่วโลก

"ท็อด ทิโบเดอร์" ประธานสูงสุด และประธานฝ่ายบริหาร บริษัทคอมพิวติ้ง เทคโนโลยี อินดัสเตรียล แอสโซซิเอชั่น หรือ "คอมเทีย" องค์กรอิสระที่ไม่แสวงหากำไรเกี่ยวกับการค้าในกลุ่มธุรกิจไอทีทั่วโลก พูดถึงปัญหาการขาดบุคลากรในวงการไอทีขณะนี้ว่า ปัจจุบันวงการไอทีทั่วโลกน่าจะขาดแคลนบุคลากรเป็นจำนวนถึง 2-3 ล้านคน เฉพาะในสหรัฐอเมริกาขาดมากถึง 450,000 คน

ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกที่ "คอมเทีย" เข้าไปสำรวจพบว่าประสบปัญหาเช่นเดียวกัน อาจเพราะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ "ไอที" เริ่มปรับมาเป็น "เซอร์วิส" รวมถึงความนิยมในการใช้งานที่เปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์พีซีมาเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่


 :welcome: :welcome: :welcome:

สำหรับภูมิภาคเอเชียเนื่องจากหลายประเทศยังตามหลังประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งด้านเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัย ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีในประเทศเหล่านี้เติบโตขึ้น ทำให้เกิดความต้องการคนทำงานด้านนี้มากขึ้นด้วย โดยมีการประเมินว่าภายในปี 2558 ประเทศในภูมิภาคเอเชียทุกประเทศรวมถึงประเทศไทยน่าจะมีปัญหาขาดบุคลากร 10-15% จากความต้องการบุคลากรไอทีทั้งหมด เพราะทุกประเทศมีรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีคล้ายกัน หากไม่ได้แก้อย่างเหมาะสม การขาดบุคลากรอาจเพิ่มเป็น 17-20% ใน 5-7 ปี

ปัจจุบันตำแหน่งที่ขาดแคลนมากที่สุด คือ "ซีเคียวริตี้ โปรเฟสชั่นนอล" เนื่องจากกระแสคลาวด์คอมพิวติ้ง และอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือทำให้มีความต้องการบุคลากรสำหรับดูแลความปลอดภัยของข้อมูล รองลงมาเป็นตำแหน่งนักพัฒนาแอปพลิเคชั่นบนอุปกรณ์มือถือ สุดท้ายคือตำแหน่งผู้วางระบบไอทีหลังบ้านขนาดใหญ่

"ปัญหาคือคนยังเข้าใจผิดว่า ตำแหน่งที่เกี่ยวกับไอทีเป็นแค่งานนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันไม่ต้องพูดกับใคร ซึ่งต้องยอมรับว่า 5-10 ปีที่ผ่านมา การสื่อสารในวงการไอทีค่อนข้างแย่ ทำให้คนคิดว่างานไอทีน่าเบื่อ ต้องไปทำเอาต์ซอร์ซให้บริษัทต่างประเทศ หรือบางคนอยากทำงานกับบริษัทไอทีระดับโลกเท่านั้น ซึ่งเราต้องสื่อสารว่างานด้านนี้ต้องทำงานกับคนอื่นด้วย อยู่กับเทคโนโลยีใหม่ตลอดเวลา และมีความก้าวหน้าในสายอาชีพ"


 :s_good: :s_good: :s_good:

"ท็อด" มองว่า หากประเทศไทยละเลยการแก้ปัญหาขาดบุคลากรด้านไอที อาจส่งผลให้บริษัทด้านไอทีจากต่างประเทศรุกเข้ามาในตลาด พร้อมนำบุคลากรจากประเทศนั้น ๆ เข้ามาด้วย เป็นการปิดโอกาสของนักธุรกิจและบุคลาการในประเทศไทย ซึ่งปัญหานี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในบางประเทศ

นอกจากนี้ ประเทศไทยอาจประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานด้านไอที และมีปัญหาสมองไหลเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ดังนั้นรัฐบาลไทยอาจหาทางป้องกันด้วยการวางโอกาสในวงการไอที เช่น ช่วยผลักดันให้ผู้ประกอบการขายสินค้าได้ง่าย ส่งออกง่าย หรือส่งเสริมให้บุคลากรได้เดินทางเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างประเทศ เพื่อให้กลับมาทำงานในประเทศไทย เป็นต้น

  "สิ่งที่ไทยควรทำอาจเป็นการดูความต้องการด้านไอทีของธุรกิจในประเทศก่อน แล้วทำให้เรื่องนั้นมีความพร้อมก่อนไปในระดับโลก เช่น สร้างดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในประเทศเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถเพียงพอแล้วค่อยขยายไปให้บริการในต่างประเทศ หรืออาจสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีสำหรับรองรับความต้องการของบริษัทต่างประเทศ"


 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

การที่รัฐบาลไทยมีโครงการวางสายไฟเบอร์ออปติกทั่วประเทศเป็นเรื่องที่ดี และว่าบุคลากรด้านไอทีในไทยมีศักยภาพเป็นอันดับต้น ๆ ในเอเชีย อาจเหนือกว่าจีนหรืออินเดียด้วยซ้ำ เนื่องจากในสองประเทศนั้นส่วนใหญ่ต้องการแค่ฝึกอบรมในหลักสูตรแต่ไม่ต้องการเข้าทำการทดสอบ ขณะที่บุคลากรในไทยอยากเข้ารับการทดสอบด้วยเพราะต้องการพิสูจน์ตนเอง

ปัจจุบันรายได้ของ "คอมเทีย" มาจากค่าเข้าทำการทดสอบเพื่อรับใบรับรองทักษะด้านไอที มีบุคลากรด้านไอทีที่ผ่านการรับรอง ประมาณ 1.7 ล้านคนทั่วโลก มีรายได้รวม 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 3-4% ต่อปี โดยคอมเทียเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ขณะนี้จับมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล, มหาวิทยาลัยมหิดล และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังเรื่องหลักสูตรการเรียนการสอนและการคิดค่าทดสอบในราคาพิเศษ

และปีหน้าจะเพิ่มความร่วมมือกับสถานศึกษาในประเทศไทยให้ถึง 10 แห่ง เพิ่มจำนวนบุคลากรไอทีที่ได้รับใบรับรองจาก 1,000 คน เป็น 5,000 คน รวมถึงเปิดสอนออนไลน์ Cert Master และเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในไทยให้เห็นความสำคัญเรื่องไซเบอร์ซีเคียวริตี้มากขึ้น

 
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1UWTBNRFEwTXc9PQ==&subcatid=
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ