ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นิสิตนักศึกษากับ ‘สมาธิเพื่อพัฒนาชีวิต’  (อ่าน 2013 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29367
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

นิสิตนักศึกษากับ ‘สมาธิเพื่อพัฒนาชีวิต’

หนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยในวันนี้มักศึกษาวิชาการสาขาต่าง ๆ มาก จนความรู้ท่วมหัว แต่จะเอาตัวรอดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะมีข่าวการฆ่าตัวตายเพราะความเครียดบ้าง เพราะอกหักบ้างอยู่เสมอ ๆ

มหาวิทยาลัยเองก็ตั้งความหวังกับนิสิตนักศึกษาที่เข้ามาผ่านการศึกษาในมหาวิทยาลัยของตนให้มีทั้งความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งฟังดูดี แต่ก็ไม่รู้ว่า “คุณธรรม” นั้น มหาวิทยาลัยปลูกฝังอย่างไร เพราะสิ่งที่สอนมีแต่วิชาการ-วิชาชีพ ที่ให้ผู้สำเร็จการศึกษาออกไปทำมาหากินได้

 :96: :96: :96:

การศึกษาของมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จึงเป็น พุทธิศึกษา ซึ่ง ท่านพุทธทาสสรุปไว้ว่า “ขอให้สังเกตดูระบบการศึกษาอยู่ในสภาพอย่างไร อยู่ในสภาพเป็นทาสทางวัตถุนิยมหนักขึ้น ๆ เป็นฝีมือของนักปราชญ์สมองใส เป็นศาสตราจารย์สมองใสทั้งนั้น ที่วางแผนการศึกษา แล้วผลเป็นอย่างนี้....พุทธิศึกษามันแปลว่าสติปัญญาสูงสุด...ตกไปเป็นทาสของวัตถุนิยมหมดเนื้อประดาตัว ตามหลักพระพุทธศาสนา เราถือว่าสิ่งที่เรียกว่า “ปัญญา” นั้น ต้องเป็นเจ้า-เป็นนาย ไม่ใช่ทาส ถ้าสิ่งที่เรียกว่าปัญญาความรู้ตกไปเป็นทาสแล้ว ไม่เรียกว่าปัญญา...”

ดังนั้น การศึกษาสมัยใหม่จึงทำให้ผู้ศึกษามี “วิชา” มากมาย โดยอาจ ไม่มี “ความรู้” และที่แน่ ๆ คือ ไม่มี “ความสุข”





ความรู้หรือปัญญา นั้น ได้มา 3 ทาง คือ การอ่านมาก การฟังมาก (สุตมยปัญญา) นี้เป็นความรู้ระดับต้น ได้มาจากการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ (จินตมยปัญญา) นี่เป็นความรู้ระดับกลาง ที่สำคัญที่สุดคือได้มาจาก การรู้แจ้งเห็นจริงจากการทำสมาธิ (ภาวนามยปัญญา) นี้เป็นความรู้ระดับสูงสุด คือ ต้อง รู้แจ้ง และ เห็นจริง ด้วย

ฝรั่งไม่รู้จักปัญญาประเภทที่ 3 (ภาวนามยปัญญา) แต่รู้จักความรู้ 2 ประเภทแรกเท่านั้น ความรู้ประเภทที่ 3 นี้แหละที่ รู้ลึก รู้รอบ ทำให้พระพุทธองค์ตรัสรู้เมื่อ 2,600 ปีเศษมาแล้ว

 :bedtime2: :bedtime2: :bedtime2:

ระบบการศึกษาไทยที่ล้มเหลวก็เพราะสอน “วิชา” เต็มไปหมด แต่ไม่ทำให้นักศึกษาเป็น นัก-ศึกษา หาความรู้ทั้ง 3 ประการเลย หากจะปฏิรูปการศึกษากันจริงจัง ก็ต้องปรับครูนั้นแหละ ให้มีความรู้ 3 ระดับเสียก่อน จึงจะสอนศิษย์ได้ทั้ง 3 ระดับ





วันนี้ผมต้องขอชื่นชมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะท่านอธิการบดี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ภิรมย์ กมลรัตนกุล และ รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.หม่อมราชวงศ์ กัลยา ติงศภัทิย์ ที่เห็นการณ์ไกล บรรจุวิชา “สมาธิเพื่อพัฒนาชีวิต” ให้เป็นวิชาการศึกษาทั่วไป สาขามนุษยศาสตร์ เป็นวิชาที่เริ่มเปิดในภาคปลาย ปีการศึกษา 2556 ในเดือน ตุลาคม นี้ มีหน่วยกิต 3 หน่วยกิต โดยนำหลักสูตรวิทันตสาสมาธิของพระธรรมมงคลญาณ (พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เข้ามาให้นิสิตจุฬาฯ ได้เรียนกันจริงจัง

นี่คือการเพิ่ม “คุณธรรม” เข้าไปให้คู่กับความรู้วิชาการตามปณิธานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างแท้จริงความจริง วิชาสมาธิ นี้มีมาก่อนพุทธกาลช้านาน พระพุทธองค์เมื่อครั้งยังไม่ตรัสรู้ก็ไปทรงศึกษาวิชาสมาธิจากอาฬารดาบส และอุทกดาบส แล้วทรงนำไปใช้เป็น 1 ในมรรคแปด ทำให้ตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดา

 :s_hi: :s_hi: :s_hi:

แต่วิชาสมาธิเพื่อพัฒนาชีวิตนี้ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ เน้น สมถกรรมฐาน เพื่อให้ผู้ยังอยู่ในโลกีย์อย่างเรา-ท่านได้ศึกษา-ปฏิบัติ เพื่อสร้างพลังจิต และพลังจิตนี้จะทำให้เกิดความสุข ขจัดความเครียด ทำให้นอนหลับ ไม่เป็นโรคจิต ที่สำคัญคือจะทำให้ผู้ศึกษามีความจำดี มีเชาวน์ปัญญา ซึ่งจะกลับมาช่วยทำให้เรียนดี นอกจากนั้นยังทำ ให้กลัวบาป หากทำสิ่งไม่ดีอยู่ก็จะกลับตัวกลับใจได้ และที่สำคัญก็คือ ได้บุญมหาศาล เพราะเป็น “ภาวนามัยบุญ” เป็นบุญสูงกว่าทาน และศีลมาก





เพราะสมาธิดีอย่างนี้แหละ สตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับจึงเข้าสมาธิบ่อย ๆ วันนี้หนังสือ ไทม์ แมกกาซีน ลงวันที่ 4 ส.ค.2546 รายงานว่า “นักวิทยาศาสตร์” กำลังศึกษาวิจัยเรื่องจิตและสมาธิ แพทย์แนะ นำให้คนไข้ทำสมาธิ ฯลฯ และคนอเมริกาหันมาทำสมาธิกันมากขึ้น ดาราไทยหลายคนก็เริ่มหันมาสนใจจริงจัง พระเจสัน ยัง ที่ไปบวชกับพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ เป็นตัวอย่างที่ดี คุณวู้ดดี้ คุณกอล์ฟ (อัครา อมาตยกุล) ฯลฯ ก็เริ่มเข้ามาสู่กระแสนี้

คนเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีของน้อง ๆ ผมจึงขออนุโมทนาขอให้คนเหล่านี้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น และเข้ามาทำหน้าที่ชักชวนคนหนุ่มสาวให้มาพบประโยชน์-สุข จากสมาธิอย่างแท้จริง
วิชา “สมาธิเพื่อพัฒนาชีวิต” จะต่างจากวิชาอื่น เพราะมีการศึกษา ภาคทฤษฎี (มีตำราของพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์) ฟังคำบรรยาย จากปากพระอาจารย์หลวงพ่อเอง แล้วตอบคำถามโดยอาจารย์ผู้สรุปในห้อง มีการปฏิบัติจริงด้วยการเดินจงกรม 15 นาที นั่งสมาธิ 15 นาที ทุกวันเป็นเวลา 4 เดือน ผู้ศึกษาจบก็จะมีความ “ชำนาญ” ในระดับหนึ่งที่จะไปปฏิบัติต่อได้เอง โดยไม่ต้องกลัว เพราะมีครูบา-อาจารย์คอยแนะนำให้เป็น “สัมมาสมาธิ”

 :49: :49: :49:

ผมสอนวิชาไหน ๆ มาก็มาก แต่เมื่อจะได้ร่วมสอนวิชานี้ก็รู้สึกตื่นเต้น และดีใจเป็นพิเศษ เพราะได้มีส่วนในการนำ “อริยทรัพย์” ของพระพุทธองค์ที่พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์หยิบยื่นให้ศิษย์อย่างผม อย่างหมดเปลือก ไม่มีปิดบัง ไปให้ลูกศิษย์ที่จุฬาฯ และที่สถาบันอื่น ๆ ต่อ นับเป็นบุญอย่างสูงสุด.



ที่มา http://www.dailynews.co.th/article/351/240432
ขอบคุณภาพจาก http://www.bunyanupab.com/ , http://www.lasallechote.ac.th/ , http://m.dmc.tv/ , http://swis.acsp.ac.th/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ