ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปริศนาบั้งไฟพญานาค  (อ่าน 967 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29448
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปริศนาบั้งไฟพญานาค
« เมื่อ: ตุลาคม 19, 2013, 11:11:30 pm »
0


ปริศนาบั้งไฟพญานาค

วันนี้ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 นอกจากนี้จะเป็นวันออกพรรษาแล้ว ค่ำคืนนี้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่ภาคอีสานของไทย ยังเต็มไปด้วยคลื่นมหาชนจากทั่วประเทศที่หลั่งไหลไปเฝ้าชมลูกไฟปริศนาหรือบั้งไฟพญานาค ซึ่งจะโผล่ขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขงในคืนนี้

ตำนานของบั้งไฟพญานาคจากทั้งในเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (www.tatcontactcenter.com)และเว็บไซต์เทศบาลตำบลปากคาด อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (http://pakkhadcity.com)ได้บอกเล่าใจความสำคัญว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และเสด็จเผยแพรพระศาสนาไปทั่วชมพูทวีป พญานาคเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาเป็นอย่างมาก จึงได้จำแลงกลายเป็นบุรุษเพื่อขอบวชเป็นพระสาวก

จนกระทั่งคืนหนึ่งพญานาคเกิดเผลอหลับและคืนร่างเดิม พอพระพุทธเจ้าทรงทราบความจริงจึงขอให้พญานาคลาสิกขาบท เนื่องจากเดรัจฉานไม่สามารถบวชเป็นพระภิกษุได้ พญานาคจึงยอมทำตาม โดยมีเงื่อนไขว่า ขอให้เรียกบุตรชายผู้มีตระกูลที่จะลาสิกขาบทว่า “นาค” ก่อนเข้าโบสถ์ เพื่อเป็นศักดิ์ศรีแก่พญานาค จึงกลายเป็นที่มาของคำว่า “พ่อนาค” ในปัจจุบัน


 :welcome: :welcome: :welcome:

ต่อมาครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงเป็นเวลา 3 เดือน สู่โลกมนุษย์  เหล่าบรรดาพญานาค นาคเทวี และบริวารจัดทำเครื่องบูชา รวมถึงพ่นไฟถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งต่อมาในทุกปีจะมีลูกไฟขนาดเท่าไข่ไก่ผุดขึ้นตามลำน้ำโขงบริเวณหน้าวัดไทย ทั้งแนวตั้งและแนวเฉียง ประมาณ 5-10 ลูก ทำให้ชาวบ้านเชื่อว่า พญานาคจุดบั้งไฟเพื่อเป็นการสักการะถวายเป็นพุทธบูชา

ทั้งนี้ บั้งไฟพญานาคมีลักษณะเป็นลูกไฟหลากสี เช่น สีส้ม ชมพู ม่วง ไม่มีกลิ่น ไม่มีควั่น ไม่มีเสียง โผล่ขึ้นจากลำน้ำโขงพุ่งขึ้นในอากาศ สูงประมาณ50-150 เมตร มักพุ่งขึ้น5-10 ลูกติดต่อกันภายในเวลากว่า 5 วินาที แต่ละปีจะมีบั้งไฟพญานาคปรากฎให้เห็นราว 3-7วัน ใกล้ๆ วันออกพรรษา ซึ่งส่วนใหญ่จะพบที่หน้าวัดไทย อำเภอโพนพิสัย และวัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสะดือของแม่น้ำโขง และเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของเมืองบาดาล

อย่างไรก็ตาม มีผู้พยายามศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาค เพื่อหาที่มาด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น มีการคาดว่าอาจเกิดจากการย่อยสลายของซากพืชซากสัตว์ใต้น้ำ จนกลายเป็นก๊าซมีเทน ไนโตรเจน หรือฟอสฟอรัส


 :49: :49: :49:

โดยเมื่อปี 2555มีการจัดเวทีเสวนา ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เรื่อง “บั้งไฟพญานาค” เป็นวิถีกระสุน หรือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่ง นพ.มนัส กนกศิลป์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนาครั้งนั้นกล่าวไว้ว่า จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงของออกซิเจน โอโซน ความชื้นสัมพัทธ์และรังสียูวีซีในช่วงเวลาที่มีบั้งไฟพญานาค พบว่าช่วงที่เกิดบั้งไฟจะมีปริมาณออกซิเจนและความชื้นสัมพัทธ์สูง โอโซนต่ำ  และมีรังสียูวีซีส่องลงมาถึง ซึ่งในบั้งไฟพญานาคนั้นมีส่วนประกอบของฟองก๊าซฟอสซิน และมีเทนในสัดส่วนที่เหมาะสม จึงทำปฏิกิริยากับอากาศโดยรอบได้อย่างรวดเร็วและไม่ฟุ้งกระจาย

ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ภาคชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวไว้ในเวทีเดียวกันว่า ตำนานพ่นไฟรับพระพุทธเจ้าไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งในอดีตก็ปรากฏให้เห็นน้อยมาก แต่พอกลายเป็นอันซีนไทยแลนด์ก็เพิ่มจำนวนเป็นร้อยๆ ลูก รวมถึงได้ตั้งคำถามไว้ว่า ทำไมเป็นปรากฏการณ์เกิดขึ้นตรงกับวันออกพรรษาของลาวเท่านั้น


 :29: :29: :29:

อย่างไรก็ตาม นพ.มนัส และดร.เจษฎา มีแนวคิดที่สอดคล้องกันว่า ควรหยุดการทำบั้งไฟพญานาคเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสที่จะเห็นของจริงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก

นอกจากนี้ เคยรายงานว่า รายการทีวีเคยตั้งกล้องถ่ายภาพที่ฝั่งลาว เมื่อปี 2554 เห็นการยิงปืนที่เป็นประเพณีที่ฝั่งลาวจัดขึ้นทุกปี ซึ่งหลังยิงประมาณ 3 วินาที จะได้ยินเสียงเฮจากฝั่งไทยตามมา โดยแม่น้ำโขงมีความกว้าง 1 กิโลเมตร ดังนั้นการเดินทางออกเสียงจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วินาที ในขณะที่แสงจะเดินทางได้เร็วกว่า

ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือฝีมือมนุษย์ ในช่วงวันออกพรรษา ลูกไฟปริศนาก็ยังคงผุดขึ้นเหนือลำน้ำโขงให้ได้เห็นกันทุกปี.


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/article/440/241498
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ