ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไปเจอ...แพะรับบาป...ที่เนปาล...น้ำตาร่วง  (อ่าน 2369 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29379
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ไปเจอ...แพะรับบาป...ที่เนปาล...น้ำตาร่วง

ครั้งก่อนผมได้เล่าเรื่อง "มนตราธวัช" ที่ได้ไปพบเจอมาที่ประเทศเนปาล โดยอาศัยใบบุญ ร่วมไปกับทริปของเอไอเอส เซเรเนด ที่เค้านำพาท่านลูกค้าผู้มีพระคุณกว่า 60 ชีวิต ที่ผ่านการเล่นเกมชนะ ได้ร่วมเดินทางไปเที่ยวเนปาลกันไงครับ ในทริปนี้ทางเอไอเอสเค้าก็ "จัดเต็ม" เหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายการบินที่ใช้ในการเดินทาง โรงแรมที่พักที่ดีที่สุดเท่าที่อำนาจเงินจะบันดาลได้ อาหารที่คัดเลือกร้าน และเมนูมาอย่างพิถีพิถัน รวมทั้งปริมาณอาหารที่เสิร์ฟมาก็มากเพียงพอ ที่จะไม่ต้องตักแบบเกรงใจ หรือกินแบบแมวดม หากแต่ผมเองต้องใช้คำว่า "ยัดทะนาน" จนพุงกางแทบระเบิด อันนี้ขอยกนิ้วให้จริงๆ

ส่วนของที่บริการให้บนรถบัสนั้น ก็มีของใช้จิปาถะ ที่พวกเราลงมติเรียกว่า "อุปกรณ์ยังชีพ" คือยาอม ยาลม ยาหม่อง กระดาษเปียก กระดาษแห้ง กระดาษ ปากกา ไฟฉายจิ๋วๆ ฯลฯ ทุกอย่างนั้นบรรจุมาในกระเป๋าผ้าทรงซองติดซิปอย่างดี ทรงทันสมัย เก๋ไก๋ น่าถือมาก เป็นผ้าทอ เนื้อหนา ลายพื้นบ้านดั้งเดิม ของเนปาล ที่คณะทำงานชุดสำรวจและชุดล่วงหน้า ได้ไปสำรวจตลาดและสั่งทำเตรียมไว้แจกพวกเรา รวมไปจนถึงชุดราตรีเต็มยศแบบประเพณีดั้งเดิมของเนปาล ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ที่สั่งตัดรายตัวจนครบทุกคน มันตื่นตาตื่นใจ หวือหวาได้ใจจริงๆ

 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ท่านที่สมัครเข้ามาเล่นเกม เพื่อรับคัดเลือกให้ร่วมเดินทางไปกับทริปของเอไอเอส เซเรเนดที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือก ก็อย่าหมดหวังนะครับ เพราะในแต่ละปี จะมีทริปกันทุกๆ ไตรมาสเลยทีเดียวครับ ขอรอฟังประกาศของเอไอเอสว่าจะไปเที่ยวประเทศใด หากท่านอยากไปด้วยกัน ก็อย่ารีรอครับ รีบจัดการเล่นเกมทันที โอกาสร่วมเดินทางกับเอไอเอสสูงนะครับ ไม่ต้องห่วง

การเดินทางไปเนปาลครั้งนี้ ประจวบตรงกับเทศกาลงานเฉลิมฉลองเจ้าแม่กาลี หรือนางทุรคา ที่มีชัยชนะในการปราบอสูรควาย เป็นงานฉลองใหญ่ทั้งประเทศถึง 15 วัน แต่ที่แจ็กพอตแตกมากที่สุด คือ ช่วงวันที่คณะของเราเดินทางไปอยู่ในเนปาลทั้ง 4 วันนั้น ดันตรงกันกับช่วงวันที่สำคัญที่สุดของพิธีกรรมทั้งหมดอีกด้วย นั่นคือ ช่วงการประกอบพิธีบูชายัญ ด้วยการฆ่าสัตว์นานาชนิด ตั้งแต่สัตว์เล็ก เช่น ไก่ ขยับใหญ่ขึ้นมาเป็นแพะ แกะ และที่สุดคือ ควาย

การบูชายัญของชาวเนปาลไม่ได้ฆ่ากันน้อยๆ อย่างบ้านเราไหว้เจ้าตอนตรุษจีนนะครับ แต่เป็นมหกรรมการฆ่าที่ยิ่งใหญ่ทั่วทุกหย่อมหญ้า นับหมื่นๆ แสนๆ ชีวิตทั้งประเทศ ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร ต้องขอให้ได้เชือด หรือสับ หรือกระซวกคอสัตว์ถวายเป็นพลี ในพิธีบูชายัญ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้น เรียกได้ว่าเวลาที่คณะเอไอเอส เซเรเนด เดินไปเที่ยวชมวัดวาอารามของเค้านั้น เราแทบจะต้องย่ำเหยียบลงไปบนกองเลือดของสัตว์ ที่ต้องรับกรรมแทนมนุษย์ โดยไม่มีความผิดใดๆ เลยแทบทุกที่ ผมขอใช้คำเรียกช่วงเทศกาล ดังกล่าวว่า "วันฆาตกรรมแห่งชาติ"


 :41: :41: :41:

เรื่องการปฏิบัติตามคติความเชื่อของศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ เป็นสิ่งที่เกิดจากจิตวิญญาน การอบรมสั่งสอนของหลักศาสนานั้นๆ จึงไม่อาจบอกได้ว่า ผิดหรือถูก ดีหรือไม่ดี แต่ในฐานะที่ผมเป็นพุทธศาสนิกชน ที่ระมัดระวังในการที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทั้งชีวิตและทรัพย์สินมาโดยตลอด ก็เกิดความสลดใจและสังเวชใจอย่างที่สุด ที่ต้องเห็น "ชีวิต" ที่มีลมหายใจเช่นเดียวกับเรา ต่างกันแค่พูดคนละภาษา มีจำนวนขาหรือมีปีก หรือมีสรีระหน้าตา ร่างกายที่ต่างจากเราเท่านั้น ต้องมาถูกเข่นฆ่าอย่างน่าเวทนา โดยเหตุผลว่าเพื่อต่อบุญให้กับผู้ฆ่า ผู้ที่ร่วมเดินทางไปในคณะนี้ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "แพะรับบาป"

ผมกลับมาเมืองไทยได้หลายวันแล้ว แต่จิตใจยังเศร้าหมองกับภาพการฆาตกรรมที่ได้เห็นและติดตา และคำว่า "แพะรับบาป" ยังคงวนเวียนรบกวนอยู่ในโสตสมองของผม ทำไมจึงต้องเป็น "แพะรับบาป" จะเป็นคนหรือสัตว์อื่นๆ บ้างไม่ได้เลยหรือ ผมถามตัวเองและตอบตัวเองกลับไปกลับมาหลายตลบ จนต้องตัดสินใจเขียนถึงเรื่องนี้
    คำว่า "แพะรับบาป" นั้น ได้ค้นดูจากหลายๆ พจนานุกรมแล้ว
    มีคำอธิบายความหมายตรงกันคือ "คนที่รับเคราะห์กรรมแทนผู้อื่นที่ทำกรรมนั้น"
    ตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า "scapegoat"
    จากนั้นก็ลองค้นดูต่อว่า ไอ้เรื่อง scapegote นี้ มันมีที่มาเก่าแก่แค่ไหน อย่างไร ก็ได้ความว่า





ในสมัยเมื่ออารยธรรมกรีกโบราณเจริญรุ่งเรือง เมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้วนั้น ในแต่ละปีจะต้องมีการประกอบพิธีล้างบาปให้เมือง เพื่อกำจัดเหตุเภทภัยนานาประการ รวมทั้งทุพภิกขภัยต่างๆ จากน้ำท่วม ฝนแล้ง แผ่นดินไหว ไฟป่า ถือเป็นประเพณีสำคัญที่ต้องปฏิบัติ จะขาด หรือเว้นไปไม่ได้เลย วิธีการของเค้าคือ การเอาคนที่ด้อยคุณภาพที่สุดในสังคม มาเป็นแพะรับบาปจริงๆ กล่าวคือ
    จะคัดเลือกอาชญากรที่กระทำความผิดอุกฉกรรจ์ อาจต้องโทษประหารชีวิตด้วยซ้ำ
    หรือมิฉะนั้น ก็คัดเลือกเอาคนพิการที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หรือไม่มีญาติพี่น้อง ลูกหลานดูแล
    หรือสุดท้ายคือขอทาน ซึ่งถือว่างอมืองอเท้า เกียจคร้าน เอาเปรียบผู้อื่นที่ต้องเหนื่อยยาก ทำมาหากิน

ส่วนวิธีการคัดเลือกนั้น ก็ง่ายแสนง่าย จนผมขอใช้คำว่า "ปัญญาอ่อน" คือ ใช้ของแข็งปลายแหลมเขียนชื่อของคนเหล่านั้น ลงบนแผ่นดินเหนียวที่หนาเท่าๆ กัน จากนั้นนำไปวางตากแดดไว้ 1 วัน กับ 1 คืน ถ้าแผ่นที่มีชื่อของใครแห้งมากที่สุด ก็จะนำคนคนนั้นไปบังคับให้เดิน หรือลากจูงไปรอบเมือง ระหว่างทางจะมีประชาชนในเมืองนั้น ที่อาศัยอยู่ตามรายทางคอยขว้างปาก้อนหินเข้าใส่ตลอดเส้นทาง จนกว่าจะสิ้นใจตายไปเอง


 :91: :91: :91:

ด้วยความเชื่อที่ว่า เพื่อให้สิ่งไม่ดี สิ่งชั่วร้ายต่างๆ ติดไปกับก้อนหินที่เขวี้ยงนั้น คนที่ถูกเสี่ยงทายเลือกมา ก็ให้เป็นตัวแทนรับสิ่งชั่วร้าย สิ่งไม่ดี และทุพภิกขภัยทั้งปวงนั้นไป และมีชื่อเรียกคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมแทนประชนทั้งปวงว่า scapegoat ซึ่งคำคำนี้ก็มีที่มาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า ที่เรียกแพะที่ถูกนำไปปล่อยทิ้งในป่า หรือในทะเลทรายในส่วนหนึ่งของพิธีลบบาป

โดยในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเก่า หรือคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม กล่าวถึงพิธีกรรมในวันลบบาป ประจำปีของชาวอิสราเอลว่า ปุโรหิตจะเป็นตัวแทนของประชาชน นำวัวเป็นๆ ไปประกอบพิธีบูชายัญ ถวายเป็นเครื่องไถ่บาปของตนเองและครอบครัวก่อน จากนั้นก็จะนำแพะเป็นๆ อีก 2 ตัว ไปถวายพระเป็นเจ้า ณ จุดซึ่งเป็นที่สมมติว่าเป็นที่สถิตของพระองค์ โดยในสมัยนั้นจะสร้างเป็นกระโจม เต็นท์กลางทะเลทราย และสมมติให้ตรงประตูเข้า-ออกเต็นท์เป็นจุดทำพิธี และจะทำการจับฉลากคัดเลือกแพะ 2 ตัวนั้นต่อไป

 :49: :49: :49:

ตัวที่ได้ฉลากใบแรก จะถูกนำไปทำพิธีบูชายัญด้วยการฆ่าทั้งเป็น เพื่ออุทิศถวายเป็นเครื่องบูชา เพื่อไถ่บาปของประชาชน จึงใช้คำเรียกแพะตัวนี้ว่า “แพะไถ่บาป” ส่วนแพะตัวที่ได้ฉลากใบที่ 2 จะถูกประกอบพิธีต่อ โดยการไว้ชีวิตและทำการอุทิศถวายแพะทั้งเป็นต่อพระเป็นเจ้า แล้วจึงทำพิธีลบบาปของผู้คนทั้งปวง โดยยกบาปทั้งหมดที่กระทำผ่านมาตลอดทั้งปี ให้ไปตกอยู่กับแพะตัวนั้นแต่เพียงตัวเดียว และจะเรียกแพะนั้นว่า "แพะรับบาป" เมื่อเสร็จพิธีแล้ว นำแพะนั้นเข้าไปปล่อยในป่าลึก หรือกลางทะเลทราย เพื่อที่จะไม่ให้แพะสามารถกลับออกมาได้อีก โดยตกเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย ซึ่งจะเชื่อกันว่าจะทำให้บาปทั้งปวงสูญหายไปพร้อมๆ กับแพะได้

แม้จะได้รับทราบความเป็นมาของคำว่า "แพะรับบาป" แล้วก็ตาม แต่ผมซึ่งเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมในพระพุทธศาสนา ก็ยังอดสลดใจไปกับมหกรรมการฆาตกรรมเพื่อบูชายัญของชาวเนปาลไปไม่ได้ บังเกิดความสังเวชต่อสัตว์ต่างๆ ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ที่ต้องถูกนำชีวิตมาเข่นฆ่าสังเวย และยังเกิดความเวทนาสงสารต่อผู้ฆ่าและร่วมรู้เห็นเป็นใจในการฆ่า ว่านับจากวันนี้ไป เค้าจะต้องชดใช้บาปกรรมที่ได้กระทำนี้ไปอีกกี่ร้อยกี่พันชาติกันจึงจะถึงกาละแห่งการสิ้นเวรสิ้นกรรม 





ตลอดเวลาที่ผมเดินผ่านการฆาตกรรมสดๆ ทั้งเมืองนั้น ผมได้ใช้ความพยายามกำหนดจิตของตัวเองอย่างสูง พยายามเอาธรรมะของพระพุทธองค์เข้าข่มจิตของตนเอง และพยายามนึกถึงชาดกในพระพุทธศาสนาที่ได้ร่ำเรียนมา สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ว่ามีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับเวรกรรมและเหตุการณ์ในลักษณะนี้บ้าง
     ก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจ ให้ผมนึกวาบขึ้นมาได้ในบัดดล เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเวรกรรมและการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญโดยตรง คือ เรื่อง "มตกภัตตชาดก"

ans1 ans1 ans1

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยโบรมโบราณนานมากแล้ว ที่เมืองพาราณสี ในรัชสมัยของพระเจ้าพรหมทัต ได้มีพราหมณ์ทิศาปาโมกข์คนหนึ่ง ปรารถนาที่จะสร้างบุญกุศลให้กับตนเอง ด้วยวิถีแห่งฮินดู นั่นคือต้องการทำ "มตกภัต" คือ การทำกุศลจากการอุทิศร่างคนตาย หรือก็คือการบูชายัญนั่นเอง จึงได้สั่งให้ลูกศิษย์ของตนไปจับแพะที่เลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง นำไปอาบน้ำให้สะอาด แล้วให้นำพวงดอกไม้ใบไม้มาตกแต่งประดับประดาแพะตัวนั้นอย่างงดงาม เพื่อเตรียมประกอบพิธีบูชายัญ

เมื่อแพะถูกจูงไปที่ท่าน้ำ ก็ทราบด้วยญาณหยั่งรู้ของตนเองว่า อีกไม่ช้าตนก็จะต้องถูกเข่นฆ่า ประหัตประหารชีวิตเป็นแน่ เพราะอกุศลกรรมที่ตนเคยกระทำมาในอดีตชาติเป็นปัจจัย ทำให้ชะตาชีวิตของตนต้องประสบเยี่ยงนี้ เมื่อคิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายตลบ ก็เกิดอาการหัวเราะและร้องไห้สลับกัน ที่หัวเราะนั้นเพราะดีใจกับตัวเอง ส่วนที่ร้องไห้ก็เพราะเวทนาสงสารพราหมณ์ทั้งหลาย บรรดาพราหมณ์ที่เป็นลูกศิษย์เห็นแพะนั้นแสดงกิริยาที่แปลก จึงจูงแพะนั้นกลับไปหาพราหมณ์ผู้ใหญ่และเล่าความให้ฟังโดยลำดับ

 :03: :03: :03:

เมื่อท่านพราหมณ์ผู้ใหญ่ซักถาม แพะจึงตอบว่า ในอดีตชาติอันนานจนไม่อาจนับเวลาได้นั้น ตนก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้เป็นพราหมณ์เช่นเดียวกันกับท่าน ในชาตินั้นตนได้กระทำการบูชายัญ หรือมตกภัต ด้วยการฆ่าแพะตัวหนึ่ง เช่นเดียวกับที่ท่านกำลังจะกระทำอยู่เดี๋ยวนี้ และอกุศลกรรมในครั้งนั้น ก็เป็นเหตุให้ตนต้องชดใช้กรรม โดยการถูกฆ่าตัดศีรษะมาทุกชาติ ไม่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ใดๆ ก็ตาม บัดนี้ได้ผ่านมาถึง 499 ชาติแล้ว และครั้งนี้จะเป็นชาติสุดท้าย คือชาติที่ 500 พอดี ดังนั้น ตนจึงหัวเราะขึ้นด้วยความยินดี ที่จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมที่ตามติดตัวมาทุกชาติในวันนี้ ส่วนที่ร้องไห้นั้น ก็เพราะสงสารท่านพราหมณ์ ที่จะได้รับบาปกรรมอันแสนสาหัส ที่ได้กระทำเช่นเดียวกับเราในอดีต

ปรากฏว่าถ้อยคำของแพะนั้น เป็นที่เข้าใจได้ดีของท่านพราหมณ์ ด้วยเพราะความเป็นบัณฑิตจึงบังเกิดความสลดใจอย่างแรงกล้า และได้สั่งยกเลิกการบูชายัญนั้นทันที และยังได้สั่งให้ลูกศิษย์นำแพะนั้นไปเลี้ยงดูให้ดี อย่าให้มีเหตุเภทภัยอันตรายใดๆ มาแผ้วพานได้ แต่แพะนั้นเข้าใจในเรื่องของกรรมของตนเป็นอย่างดี จึงได้กล่าวเป็นนัยกับพราหมณ์ว่า "การอารักขา ของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปกรรมของเรามีกำลังมาก ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจป้องกันได้"

 :character0029: :character0029: :character0029:

เมื่อแพะเป็นอิสระจากพันธนาการ ก็เดินเลียบไปทางชะง่อนหินใหญ่ ที่มีกิ่งไม้ใบดกทิ้งทอดยอดอ่อนลงมา เป็นที่น่าลิ้มเล็มยิ่งนัก เมื่อได้ยืดลำคอชะเง้อชูขึ้น เพื่อจะกินใบไม้นั้น ก็เป็นจังหวะเวลาเดียวกันกับที่สายฟ้าได้ผ่าฟาดลงมาที่ชะง่อนหินนั้นพอดี ยังผลให้สะเก็ดหินชิ้นหนึ่งได้แตกออกและปลิวไปตัดคอแพะที่กำลังชะเง้อชูคออยู่พอดี แพะนั้นก็คอขาดกระเด็นและล้มลงสิ้นใจตายทันที

รุกขเทวดาที่สถิตย์อยู่ ณ ต้นไม้นั้น ได้เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด จึงได้กล่าวสอนว่า "มนุษย์ผู้กลัวตกนรก พึงพากันงดจากปาณาติบาต ตั้งอยู่ในเบญจศีลเถิด" และกล่าวเป็นคาถาว่า


     "ถ้าสัตว์ทั้งหลาย พึงรู้อย่างนี้ว่า ชาติภพนี้เป็นทุกข์
       สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่าผู้ฆ่าสัตว์ ย่อมเศร้าโศก"


 :25: :25: :25:

เมื่อผมนึกถึงชาดกเรื่องนี้ได้ ก็บังเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย ในใจนั้นก็ได้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้ดวงวิญญาณของสัตว์ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของการบูชายัญเหล่านั้น จงสิ้นเวรสิ้นกรรมไปโดยเร็ววัน และหวังว่าประเทศเนปาลที่ติดอยู่ในอันดับสิบ ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก คงจะได้รับความเจริญของโลกปัจจุบัน ที่เรียกว่าความศิวิไลซ์ ที่เข้าไปสู่ประเทศนี้บ้าง และอาจมีส่วนเข้าไปช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงในประเพณีความเชื่อที่ทารุณเช่นนี้ไปได้ในเร็ววัน เหมือนกับที่อินเดียยกเลิกพิธี "สตี" ไปนมนานมากแล้ว หรือที่ประเทศไทยของเรายกเลิกการฝังคนทั้งเป็นในการตั้งเสาหลักเมือง มาตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 แล้ว

เผ่าทอง ทองเจือ


ปล. : ต้องขอขอบคุณข้อมูลสำหรับ "มตกภันตชาดก" ที่ได้จากหนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๑ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย) เป็นเรื่องที่ 8 ในสีลวรรค หน้า 268-271 พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่มที่ 3 ภาคที่ 1
เอื้อเฟื้อภาพโดย : คุณพิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/378183
http://d22r54gnmuhwmk.cloudfront.net/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 26, 2013, 09:10:28 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ