ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บริกรรมพุทโธ..วิตก วิจาร เป็นอย่างไร  (อ่าน 5870 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


"การปฏิบัติธรรมดั่งที่พระอาจารย์เสาร์สอน"

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ : ขอท่านได้อธิบายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม ดั่งที่ท่านอาจารย์เสาร์สอนมา
หลวงพ่อพุธ : โดยหลักการที่ท่านอาจารย์เสาร์ได้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามานั้น ยึดหลักการบริกรรมภาวนาพุทโธและอานาปานสติเป็นหลักปฏิบัติ การบริกรรมภาวนาให้จิตอยู่ ณ จุดเดียวคือพุทโธ ซึ่งพุทโธแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นกริยาของจิตเมื่อจิตมาจดจ้องอยู่ที่คำว่าพุทโธให้พิจารณาตามองค์ฌาน ๕


    การนึกถึงพุทโธเรียกว่าวิตก จิตอยู่กับพุทโธไม่พรากจากไปเรียกว่าวิจาร
    หลังจากนี้ปิติและความสุขก็เกิดขึ้น เมื่อปิติและความสุขเกิดขึ้นแล้ว
    จิตของผู้ภาวนาย่อมดำเนินไปสู่ความสงบ นิ่งสว่าง
    ไม่มีกิริยาอาการแสดงความรู้ ในขั้นนี้เรียกว่าจิตอยู่ในสมถะ


ถ้าจะเรียกโดยจิตก็เรียกว่าอัปปนาจิต ถ้าจะเรียกโดยสมาธิก็เรียกว่าอัปปนาสมาธิ ถ้าจะเรียกโดยฌานก็เรียกอัปปนาฌาน บางท่านนำไปเทียบกับฌานขั้นที่ ๔ จิตในขั้นนี้เรียกว่าอัปปนาจิต อัปปนาสมาธิ อัปปนาฌาน จิตย่อมไม่มีความรู้อะไรเกิดขึ้น นอกจากมีสภาวะรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น..ฯลฯ

___________________________________________________________
ที่มา https://www.facebook.com/rajasangvorrayan/posts/406014719423886
ภาพจาก http://www.kammatan.com/



ฌาน - เทวดา - พรหม   
(หลวงพ่อฤาษ๊ลิงดำเล่าเมื่อ 10 สิงหาคม 2520)

วันนี้เปิดเทปหลวงพ่อตื้อฟัง มีคนเขาเอามาให้ ท่านบอกว่า "พุทโธ" แต่พุทโธก็อย่าให้ถึง ธัมโม นะ อันนั้นของท่านถูก เพราะถ้าจิตใจเราภาวนาว่า พุทโธ แล้วไปนึกเอาธัมโมเข้า ก็แสดงว่า จิตเคลื่อน จากสมาธิ เมื่อพุทโธ ก็ต้องพุทโธ อยู่ตลอดเวลา ขณะใดที่ยังพุทโธอยู่ ขณะนั้นคือ จิตเป็นฌาน

ไอ้คำว่า "ฌาน" ภาษาบาลีว่า ฌานัง แปลว่า เพ่ง "เพ่ง" นี้ ไม่ใช่ เอาตาไปจ้อง แต่ให้เอาใจไปจ้อง คือ ใจนึกอยู่เสมอ นี่แหละตัวฌาน คือ ใจนึกอยู่ว่า เราภาวนายังไง ถ้าเรานึกถึงพระพุทธเจ้าเราก็นึกว่า พุทโธ นึกถึง พระธรรมเราก็นึกว่า ธัมโม นึกถึงพระสงฆ์เราก็นึกว่า สังโฆ ทีนี้ถ้าเรากำลังนึกว่า พุทโธ ก็อย่าให้กลายเป็น ธัมโม สังโฆ ออกมาด้วย ถ้ามันส่ายในอารมณ์ แบบนี้ก็ชื่อว่า จิตไม่ทรงสมาธิ เว้นไว้ แต่ว่า เราจะตั้งใจนึกถึง พระรัตนตรัยทั้ง 3 ประการ คือ ทั้ง พุทโธ ธัมโม และ สังโฆ ถ้าตั้งใจแบบนี้ เราก็ย่ำเท้า 3 จุดเลยไม่ให้พลาด นี่ก็เป็นสมาธิเหมือนกัน ใช้ได้ ถ้ามันผิดพลาดจากเจตนาเดิม เราถือว่า คลาดจากสมาธิ


 :25: :25: :25:

อารมณ์ฌานนี่ก็ไม่มีอะไร ความจริงมันของง่าย ๆ พูดให้มันยาก "การตั้งใจไว้โดยเฉพาะ" นั่นคือ ฌาน ฌาน คือ การทรงอารมณ์อยู่ การทรงอารมณ์อยู่เรียกว่า การเพ่ง คือ การตั้งใจไว้ นี่มัน ฌานเล็ก คือ ปฐมฌาน ถ้าถึงทุติยฌานแล้ว จะตั้งใจว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรก็ตาม มันหยุดภาวนา คือ
    ภาวนาไป ๆ มัน หายไปเองเฉย ๆ อีตัวหายไปเฉย ๆ นี่เขาเรียกว่า ตัด วิตกวิจาร
    ปฐมฌาน มี วิตกวิจาร วิตก คือ ตัวนึก วิจาร ว่า ใคร่ครวญ
    เรานึกว่า จะภาวนาพุทโธ และขณะภาวนาก็ใคร่ครวญว่า เอ๊ะ นี่เราว่า ครบไหม
    เราว่า พุทโธนี่ เราว่าอยู่หรือเปล่า แล้วจะครบไหม ไอ้นี่เป็น วิจาร

พอถึง ทุติยฌาน วิตก หริอ วิจาร หยุดไป ไม่ใช่เราเลิก ต้องให้เลิกเอง เมื่อวิตกวิจารเราเลิก คำภาวนาก็หายไป เพราะว่า คำภาวนา มันเป็นวิตกวิจาร วิตกวิจารหายไป แต่จิต มันเป็นสมาธิดีขึ้น มีความชุ่มชื่น ทรงตัวดีกว่า แต่ว่าถึงฌาน 2 ใหม่นี่นะ พอจิตมันตกกลับไปถึง ปฐมฌาน มีอารมณ์นึกขึ้นมาว่า อ้าว ตาย จริงนี่ ลืมภาวนาเสียแล้ว จับต้นชนปลายไม่ถูก เอ๊ะ นี่ เราไม่ได้ภาวนา เสียแล้วนี่ เสร็จ! ไปเจอะเอาเพชรเข้านึกว่า ราคาถูกกว่าขี้เสียแล้ว

ทีนี้พอถึงฌานที่ 3 ความชุ่มชื่นหายไป มีอาการคล้าย ๆ กับตัวตึงเป๋ง ความจริงตัวมันปกติ แต่จิตมันตั้ง มั่นมาก มีอาการทรงตัวเป๋ง หูได้ยินเสียงภายนอกน้อย ลมหายใจเบา อารมณ์มันทรงสบาย ใครจะกระโดด โลดเต้นไงก็ตาม ไอ้ตัวนี้ไม่รำคาญ เรานอนอยู่เขากระโดดตึง ๆ ไอ้ตัวนี้เฉย มันรู้ว่า เขาโดดแต่ได้ยินเสียงไม่ชัด


 st12 st12 st12

ทีนี้พอถึงฌานที่ 4 กายกับใจมันแยกเด็ดขาด ความจริงกายกับใจมัน เริ่มแยกกันตั้งแต่ฌานที่ 1 แล้วคือ ตามปกติ เราได้ยินเสียงรบกวนนี่ เรารำคาญ
    ทีนี้ในฌานที่ 1 ได้ ยินเสียงไม่รำคาญ แสดงว่า จิตมันเริ่ม แยกจากกายนิดหน่อย
    พอฌานที่ 2 ตัดวิตกวิจาร มีความชุ่มชื่น มีการทรงตัว มากขึ้น ก็แยกกันไกลออกไปนิดหนึ่ง แต่ก็ยังอยู่ในตัว ยังรับรู้เรื่องของประสาท
    ฌานที่ 3 มีอาการทรงตัวมากขึ้น แต่ยังรับอาการของประสาทเบาๆ
    พอฌานที่ 4 จิตมันแยกกับกายเลย ไม่ยอมรับรู้เรื่องของประสาททั้งหมด ยุงกินริ้นกัดไม่รู้หรอก เสียงดังโครมคราม แม้แต่เสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิดลงใกล้ ๆ มันก็ไม่ได้ยิน ถ้าหากเป็นฌาน 4 ละเอียดนะ เมื่อจิตมันแยกกับกายเด็ดขาด
    ท่านจึงถือว่า ฌาน 4 เป็นฌานสำคัญ เวลาที่เราจะถอดตัวข้างใน ออกไปเที่ยวข้างนอกก็ต้องเข้าถึงฌาน 4 เวลาพระพุทธเจ้านิพพานก็ฌาน 4 พระอรหันต์ ถ้าท่านทรงตั้งแต่ฌาน 4 ขึ้นไป ท่านก็ต้องถอยกลับมาออกตรงฌาน 4 นี่แหละ ออกตรงอื่นไม่ได้ เว้นแต่ท่านที่ได้ไม่ถึงฌาน 4 ก็ไปตามกำลังของฌาน...ฯลฯ

_______________________________________
ที่มา http://www.firstbuddha.net/Real/chan.html
ภาพจาก http://kungsiam.igetweb.com/



บำเพ็ญกุศลให้บรรลุผล
พระธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินธโร)
วัดธรรมมงคล สุขุมวิท 101 พระโขนง กรุงเทพฯ

    รูปฌาน ในเบื้องต้น คือ ปฐมฌานนั้น มีองค์ 5 คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคต
    วิตก วิจารณ์ นั้น คือ การนึกพุทโธ เสร็จแล้ว จิตก็จะเป็นหนึ่ง
    เมื่อจิตเป็นหนึ่งแล้ว ก็เกิด ปีติ เมื่อเกิดปีติแล้วก็เกิดความสุข อันนี้ เป็นองค์แห่งปฐมฌาน
    การที่เป็นเช่นนี้ได้ ก็ต่อเมื่อ เค้าได้บริกรรมพุทโธ จนกระทั่งจิตเป็นหนึ่งได้ เกิดความสุขได้ เกิดความเบาได้
    แต่ปฐมฌานนั้น เรียกว่าฌานชั้นต้น เรียกว่าฌานอ่อนมาก
    เพราะฉะนั้น จึงมีการหวั่นไหว มีเสียงมากระทบ หรือมีอะไรมากระทบ จิตนั้นก็เกิดอารมณ์ อย่างนี้
    เมื่อบุคคลผู้ที่ ได้บำเพ็ญปฐมฌาน ตามสมควรแล้ว คือหมายความว่า เป็นปฐมฌาน นับ 1 นับ 2 นับ 4 นับ 8 นับ 100 ครั้ง แล้วจิตนั้น ของเค้าก็จะเขยิบขึ้น ไปสู่ทุติยฌาน


ทุติยฌานนั้น มีองค์ 3 คือ ยก วิตก วิจารณ์ ออกไปเสีย เหลือแต่ ปีติ สุข เอกัคคตา ผู้ที่บำเพ็ญถึงทุติยฌานนั้น คือผู้ที่ไม่ต้องบริกรรมใดๆ ทั้งสิ้น คำบริกรรม ไม่ว่าจะเป็นคำบริกรรมใดๆ คำบริกรรมนั้น ถือว่าเป็นปฐมฌาน หรือถือว่าเป็น สมาธิชั้นต่ำสุด เรียกว่าปฐมฌานนั้น เพราะฉะนั้น จิตของผู้ที่หยั่งเข้าไปสู่ทุติยฌาน จึงไม่มีคำบริกรรมใดๆ เพียงแต่กำหนดเอกัคคตาไว้อย่างเดียวเท่านั้น ปีติ ก็มีแล้ว สุข ก็มีแล้ว ปีติ ได้แก่ ความเอิบอิ่ม สุขได้แก่ ความสบาย ที่เกิดขึ้นจากองค์แห่งฌาน เมื่อบุคคลที่ได้สร้าง ทุติยฌานเกิดขึ้น โดยที่ทำจิตให้สงบ ไม่ต้องใช้คำบริกรรมใดๆ แล้ว เป็นครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ที่ 4 ที่ 100 เป็นต้น จิตของเค้าก็จะเกิดความชำนาญขึ้น จิตนั้นก็จะยกจาก ทุติยฌาน ไปสู่ ตติยฌาน

ตติยฌานนั้น ก็มีองค์ 2 ลดลงไปอีก องค์ 2 นั้น เหลือแต่ สุข กับ เอกัคคตา ปีติก็ไม่มีแล้ว เมื่อมาถึง ตติยฌานนั้น จิตนั้นก็จะสงบอยู่ได้เป็นเวลานาน จะเป็นเวลา ชั่วโมง หรือจะมากกว่านั้น ก็ได้ ตติยฌาน มีแต่ความสุข แล้วก็มี ความเป็นหนึ่งของจิต เรียกว่า ตติยฌานนั้น เมื่อตติยฌานได้รับผล และทำให้เกิดขึ้น แก่ตนของตนมากขึ้น 1 ครั้ง ก็ดี 2 ครั้ง ก็ดี 100 ครั้ง 1,000 ครั้ง ก็ดี ที่เกิดขึ้นนั้น จิตนั้นก็จะยกระดับจาก ตติยฌาน เป็น จตุถฌาน หมายถึงชั้นที่ 4

จตุถฌานนั้น จะไม่มีความสุข มีแต่ความวางเฉย กับความเป็นหนึ่ง เมื่อมาถึงขั้นจตุถฌานนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นที่ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อผู้ปฏิบัติ เมื่อผู้ปฏิบัติต้องการที่จะพ้นจากทุกข์ ผู้ทำถึงจตุถฌาน ก็ดำเนินจิตเข้าสู่วิปัสสนาไปได้เลย โดยที่ไม่ต้องไปกังวลสิ่งอื่นใด สามารถที่จะดำเนินวิปัสสนาต่อไปได้

จตุถฌานนั้น คือ อุเบกขา และ เอกัคคตา ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็หมายถึงว่า ผู้ที่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีเงินนับไม่ถ้วน ร้อยล้านก็นับว่ามาก พันล้านก็นับว่ามาก หมื่นล้านก็นับว่ามาก แสนล้านก็นับว่ามาก แต่เศรษฐีนั้น เค้ามีมากกว่านั้น ข้อนี้ท่านเปรียบเหมือนกับจตุถฌานที่สามารถสะสมพลังจิตไว้ได้มากแล้ว เหมือนกับผู้ที่เป็นเศรษฐีมีเงิน ต้องการอยากได้บ้านสักหลังหนึ่ง เนรมิตชั่วพริบตา เอาเงินไปซื้อก็ได้แล้ว ต้องการอยากได้ที่ดิน ก็เอาเงินไปซื้อ เนรมิตมา ก็ได้แล้ว ต้องการอยากได้ อาหาร สิ่งใด เอาเงินไปเนรมิตมา ก็ได้แล้ว หรือต้องการ อยากได้ยวดยานพาหนะ รถราต่างๆ เอาเงินไปซื้อ ประเดี๋ยวเดียวก็เนรมิตออกมาได้แล้ว..ฯลฯ

______________________________________________________________
ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/lp-viriyang-01.htm
ภาพจาก http://www.web-pra.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

KIDSADA

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 439
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: บริกรรมพุทโธ..วิตก วิจาร เป็นอย่างไร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 21, 2014, 02:50:09 pm »
0
 st11 st12
บันทึกการเข้า
เราชอบ ป่วนแก็งค์ อ๊บ อ๊บ