ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อุบายธรรม..หยุดยั้งการคิดสั้น  (อ่าน 1031 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อุบายธรรม..หยุดยั้งการคิดสั้น
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2014, 07:49:09 pm »
0


อุบายธรรมหยุดยั้งการคิดสั้น : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

อีกแล้วครับ สำหรับข่าวเศร้าสะเทือนใจกับการฆ่าตัวตายของนิสิตวิศวกรปี ๓ เนื่องมาจากความเครียดเรื่องเรียน! สะเทือนใจมาก ยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่เคยมีประสบการณ์การสูญเสียญาติของตน ในกรณีแบบนี้เป็นธรรมดาครับ คนเราทุกคนย่อมมีปัญหาของตนในแต่ละมิติ สภาวะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ การตีความ 'ปัญหา' ของแต่ละคน จึงไม่เหมือนกัน แตกต่างไปตามประสบการณ์ ความเชื่อของใครของมันซึ่งอาจแจกแจงได้เป็นหลายพันชนิด หลายหมื่นกรณี
 
แต่เชื่อไหมครับ? การแก้ไปที่ต้นตอของปัญหาชีวิตคนเรานั้นกลับมีวิธีง่ายๆ เพียงไม่กี่วิธีเองครับ ที่สามารถช่วยเยียวยา แก้ปัญหาได้ตั้งแต่ในเบื้องต้น คือผ่อนหนักให้เป็นเบา ยับยั้งการคิดสั้นนั้นได้ โดยการมองให้เห็นต้นเหตุแห่งปมปัญหาแห่งความทุกข์นั้นได้ ในท่ามกลาง กระทั่งถึงสามารถดับทุกข์ได้ทีเดียวในเบื้องปลาย วิธีนั้นคือการฝึกลับคมธรรมของพระพุทธเจ้า


          รู้ธรรม ... ย่อมดีกว่า ไม่รู้ธรรม
          เข้าใจธรรม  .. ดีกว่า  รู้ธรรม
          ปฏิบัติธรรม .. ดีกว่า เข้าใจธรรม
          เป็นธรรม (ใช้ธรรมให้เป็น) ... ดีกว่าการปฏิบัติธรรม


และอุบายธรรม ที่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าหากได้รู้-เข้าใจ- ปฏิบัติ และนำมาใช้ธรรมนั้นให้เป็น และทันท่วงที ปิดโอกาสการคิดสั้นทั้งหลายทั้งปวงลงได้อันประยุกต์แล้วมีเพียง ๕ ประการดังต่อไปนี้ก็น่าจะเพียงพอ ในทัศนะของผู้เขียนครับ

๑.เข้าใจธรรมชาติของชีวิต
๒.อะไรๆ ก็เรื่องนิดเดียว
๓.ตีกรอบปัญหาให้เป็นตามหลักอริยสัจ
๔.นำวิธีแก้ปัญหาที่ตกผลึกแล้ว ไปลงมือทำอย่างใจเย็น และยืดหยุ่น
๕.ทุกคนต้องมีสุญญตาวิหาร (เรือนว่างในจิต) ของตนเอง


 :25: :25: :25:

๑.เราควรทำความเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ที่เป็นไปตามกฎแห่งอิทัปปัจจยตา การเกิดเนื่อง-สืบต่อ หรือดับไป อันเป็นผลซึ่งกันและกัน ก่อนที่กิเลสจะมีโอกาสสร้างตัวกูของกูจนแน่นหนักปักฐานเกินเยียวยา เช่น คนสมัยก่อน เคยเชื่อว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก กระทั่ง กาลิเลโอ (Galileo Galilei) พบสัจธรรมว่า โลกต่างหากที่หมุนรอบดวงอาทิตย์หลายร้อยปีต่อมา

เมื่อโลกยิ่งเจริญขึ้น คนละโมบโลภมากยิ่งขึ้น จึงพากันบูชาวัตถุ พูดจากันแต่ภาษาเงิน จนพวกเขา ไม่สนแล้วว่ากฎธรรมชาติเป็นเช่นไร อาจเผลอคิดไปเอง ว่าทั้งดวงอาทิตย์และโลก หมุนรอบตัวเราซะงั้น ดังนั้นเมื่อเกิดความคาดหวังสูงแล้วผิดหวัง หรือทำอะไรแล้วไม่ได้ดั่งใจ หรือสูญเสียสิ่งที่ตนรัก-หวงแหน ฯลฯ จึงอาจเกิดความเครียด ความกดดัน ขาดสติไปนำไปสู่การคิดสั้นได้

ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเราควรเข้าใจธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมนั้น ในแต่ละวงๆ ให้ดี อาทิ ถ้าเป็น 'วงจรใหญ่' ของชีวิตของคนเรา นั้นไม่พ้นการแก่-เจ็บ-ตาย เมื่อเข้าใจดังนี้แล้วไซร้ เวลามีคนที่รักต้องตายไป ไม่ว่ากรณีใดๆ เราก็จะไม่เสียใจถึงกับคลุ้มคลั่งจนครองสติไม่อยู่ หรือหากเป็น “วงจรเล็ก” ลงมา เช่น กรณีของการเรียนวิศวะ ธรรมชาติของมันก็เป็นของยาก ลำบากอยู่แล้ว และมันไม่ได้เพิ่งจะเป็น

ผมว่ามันเป็นมาร่วมศตวรรษแล้วด้วย (ที่รู้เพราะตัวเองก็จบวิศวะเหมือนกัน) ธรรมชาติของการตัดเกรด curve อิงเกณฑ์ แถมเกณฑ์มาตรฐานก็สูงด้วย (ก็ไม่รู้ว่าพวกคณาจารย์วิศวะเหล่านั้น จะทำให้มันยาก ลำบากกันเกินไปทำไม? สนองตัวกู วิชากู สถาบันกู มากไปหรือเปล่า?) การตัดสินใจเข้ามาเรียนจึงต้องรู้ธรรมชาติของสาขาวิชามาก่อนแล้วว่ามีการสอบได้-สอบตก มีการสอบซ่อม หรือเลวร้ายที่สุดก็แค่รีไทร์ ไม่เห็นเป็นไร ยังหายใจอยู่ก็สอบ Entrance ใหม่ได้ ทำนองว่า ต้องรู้เขา-รู้เรา อย่างนี้ จึงจะไม่เครียด


 :96: :96: :96:

๒.อะไรๆ ก็เรื่องนิดเดียว โลกนี้ไม่มีเรื่องยาก สำหรับผู้มีปัญญาและใจถึง มองดูธรรมชาติรอบตัวเรา เปรียบเทียบกับคนที่ลำบากกว่าเรา เปรียบเทียบกับสัตว์โลกบางชนิดที่ลำเค็ญเสียยิ่งกว่าเราหลายร้อยเท่า เช่น หมาวัยละอ่อนตัวหนึ่งถูกรถทับจนขาหลังแบนเละทั้ง ๒ ข้าง ยังดิ้นรน อยากจะมีชีวิตอยู่ มันเดินลากขาหลังนั้นไปกับพื้นตั้งหลายกิโลเมตร กระเสือกกระสนไปจนถึงวัดมาบจันทร์ จังหวัดระยอง

ครูบาโชค พระใจบุญ เห็นสภาพอันน่าเวทนาของมัน โคนขาทั้งสองข้างของมันถูไถไปกับถนนยางมะตอย เนื้อหนัง ฉีก หลุดลุ่ย จนเห็นถึงกระดูก จึงพาไปรักษา หลังจากหมอตัดขาหลังของมันทิ้งไปทั้ง ๒ ข้าง แล้วติดล้อเลื่อนให้ ชีวิตของมันทุกวันนี้จึงมีความสุข ลองเทียบตัวเราเองกับหมาน้อยตาดำๆ ตัวนี้สิครับ ปัญหาของท่านจะกลายเป็นเรื่องนิดเดียวไปเลย


 st11 st11 st11

๓.สบายใจแล้ว ก็ค่อยตีกรอบปัญหาของเราให้ชัด เขาเรียก Address the problem (ทุกข์) ไม่ฟุ้งซ่านไปไกลถึงผลกระทบ มองเพียงแค่ปัญหานั้นจริงๆ แล้ว หาสาเหตุของมัน (สมุทัย), เป้าหมายของการแก้ปัญหา (นิโรธ) และ วิธีการแก้ปัญหา (มรรค) ... Road map แห่งอริยสัจ จะปรากฏตรงหน้า ความกดดัน หรือความท้อแท้สิ้นหวังทั้งหลายทั้งปวงก็จะหายไป

๔.นำวิธีแก้ปัญหาที่ได้จากข้อ ๓ ไปตกผลึก นึกให้ชัด เขียนออกมาเป็น แผนการ (Action plan) แล้ว ค่อยนำไปลงมือทำ อย่างใจเย็น ฉลาดเฉลียว ด้วยความยืดหยุ่น พร้อมปรับเปลี่ยนได้เสมอตามโอกาส ลูกผู้ชายยืดได้ ก็ย่อมหดได้ ขอเพียงอย่างเดียว อย่าเสียกำลังใจ

๕.สุดท้ายมนุษย์เราต้องการมีพื้นที่ส่วนตัว ต้องมีเครื่องอยู่ และเครื่องอยู่ที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญที่สุดก็คือ 'สุญญตาวิหาร' การมีเรือนว่างในจิตเป็นของตนเองนั้น จะเป็นที่หลบภัยก็ดี จะเป็นการชาร์จไฟ เติมพลังชีวิตก็ดี หรือจะใช้โยนิโสมนสิการ พิจารณาธรรม เป็นธัมมวิจัยก็ดี  เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฝึกฝน ลับคมธรรมของใครของมันนะครับ

 ans1 ans1 ans1

'อานาปานสติ' เป็นวิธีการหนึ่งที่พระพุทธเจ้าแนะนำ ซึ่งพระองค์เองก็พิสูจน์แล้วว่าทรงทำได้จริง ตั้งแต่ตอนยังเป็นราชกุมารวัย ๗ ขวบอยู่เลย เสมือนปลาไหลไฟฟ้า หลังจากที่มันช็อตเหยื่อด้วยกระแสไฟในตัวจนหมดแล้ว มันจะหลบไปซุกตัวอยูในโคลนตมใต้น้ำเพื่อเก็บสะสมพลังไฟฟ้าสถิตจากโคลนให้เต็มใหม่ พร้อมจะใช้เปลี่ยนเป็นไฟกระแสเวลาจับเหยื่อได้อีก เป็นต้น

การรู้จักการปล่อยวางจากความยึดมั่นอันแน่นเหนียว และหันมาครอง 'สติ' อยู่กับลมหายใจ นอกจากจะทำให้เกิดพลังจิตตานุภาพขึ้นมาแล้ว ยังเปิดโอกาสได้นำปัญญาญาณไปพิจารณาปัญหาชีวิตที่กำลังประสบ ได้เกิดกระบวนการทบทวนโดยธรรมชาติของกำลังสมาธิ จนอาจนำไปสู่ 'การโพล่ง' หรือ 'ปิ๊ง' แบบอิกคิวซัง สามารถพบแนวทางการแก้ปัญหาของมันเองได้ด้วย


จงฝึกลับ คมธรรม เสมอเถิด
ทำให้เกิด ปัญญา อันกล้าแก้ว
ทำให้มี 'สติ' ที่คล่องแคล่ว
สยบแล้ว ซึ่งปัญหา สารพัน
ปิดโอกาส คิดสั้น อันบั่นทอน
ทั้งทอดถอน ตัวเธอ และตัวฉัน
เหลือแต่เหตุ - ปัจจัย พึ่งพากัน
ทำได้กัน ทุกท่าน ที่นี่เอยฯ


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140323/181383.html#.Uy7XQaI9S4l
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ