ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปลดล็อกความทุกข์ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว  (อ่าน 1115 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ปลดล็อกความทุกข์ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา เรื่อง อนันต์ จันทรสูตร์ ภาพ

ปุถุชนคนธรรมดา ยามทุกข์ใจ บ่อยครั้งที่ไม่อาจปลดทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ช่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่เป็นชาวพุทธ นักปราชญ์เปรียญเก้าประโยค ที่ได้ชื่อว่ารู้ธรรมในพระไตรปิฎกอย่างพิสดาร แต่ก็หาใช่จะดึงปัญญามาสกัดอารมณ์ ข่มทุกข์ที่เกิดกับตน ได้ทันทุกครั้งเสมอไป

นี้ยิ่งถือเป็นเรื่องน่าเสียดายเหลือเกิน เพราะคำสอนของพระพุทธองค์นั้น มีกลยุทธ์มากมายที่ใช้ได้ในการดับทุกข์ ทุกชนิดที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย และมีด้วยกันถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพียงเลือกในบางข้อธรรมมาเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขนมาทั้งหมด ก็เห็นผลได้ แต่หากสติของคนธรรมดานั้นไม่เร็วพอที่จะดึงนำปัญญาต่างๆ เหล่านั้นมาใช้ได้ทัน คนส่วนมากจึงยังจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ ที่ส่งผลกระแทก (Impact) ราวคลื่นสึนามิ กระทบต่อจิตใจอยู่ตลอดเวลา

เช่น ประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ภรรยาผมเสียแม่ของเธอไป นาทีที่หมอแจ้งผลการตายในห้องดับจิต เธอเกิดอาการเพ้อ เนื่องจากคุมสติไม่อยู่ ปากก็ตะโกนลั่นว่า "ใครก็ได้ ช่วยทำอะไรบางอย่างสิ " ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น จนผมต้องดึงเธอเข้ามากอดแล้วปลอบว่า การตายเป็นเรื่องธรรมดานะ (เว้นช่วงนิดหนึ่ง จึงกล่าวต่อว่า) ที่คุณไปปฏิบัติธรรมมาทั้งหมด ก็เพื่อเอามาใช้ตอนนี้แหละ


 :96: :96: :96: :96:

โชคดีที่ยังมีภูมิธรรมเก่าเก็บไว้ เธอจึงสงบลงได้ในเวลาไม่กี่วินาที หลังจากนั้น ผมจึงคิดว่ายังมีผู้คนอีกมากมายหลายแสนชีวิต หลายล้านกรณีที่เป็นเหตุปัจจัย ทำให้พวกเขาต้องทุกข์ระทมใจ เศร้าโศก เสียใจ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงขึ้นอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อยู่ในขณะนี้ (โลกเราก็เป็นแบบนี้แหละ) ไม่มีวันหมดสิ้นไป เพราะฉะนั้น ...

จะดีกว่าไหม? หากเราจะคัดสรรเอาข้อธรรมบางประการ ที่เป็นหมัดเด็ด จดจำง่าย เป็นที่กระจ่าง ทำให้ทุกคนเข้าใจ ทั้งยังหยิบใช้งานได้ทันท่วงที สามารถนำมันมาจัดการกับความทุกข์ได้ใน ๓ ประโยค (ประโยคจริงๆ มิใช่เป็นท่านมหา ที่จบเปรียญ ๓ ประโยค นะครับ) แล้ว ๓ ประโยคที่ว่านั่นควรเป็นอย่างไรเล่า?


 ans1 ans1 ans1

ไม่ว่าปรากฏการณ์อะไรที่เกิดขึ้นอยู่ต่อหน้าต่อตา ต่อประสาทสัมผัสทั้ง ๕ หรืออายตนะ ๖ ของท่านก็ตาม ให้นึกถึงประโยคทั้ง ๓ นี้ ไว้

    ๑. มันเป็นเช่นนั้นเอง ... ลูกสาวต้องจมน้ำตาย, ภรรยาเป็นมะเร็งร้ายขึ้นสมองต้องจากไปก่อนวัยอันควร, ลูกชายเรียนไม่ทันเพื่อนหนีไปฆ่าตัวตาย, เพื่อนฝูงคนหนึ่งโชคร้าย ไฟคลอกตายทั้งสามีภรรยาในวันเชงเม้ง ฯลฯ ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่รุนแรง กระชากใจเราแค่ไหนก็ตาม
    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเรา ล้วนแต่เป็นเรื่องธรรมดา อยู่ภายใต้กฎธรรมดา ของอิทัปปัจจยตา มันเป็นเช่นนั้นเอง เป็นเช่นนั้นเองๆ ... ล้วนต้องเปลี่ยนแปลง ไม่แน่ไม่นอน ตามคำสอนของพระพุทธองค์ ว่าด้วยไตรลักษณ์ (อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา) เป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง กับคนใดคนหนึ่ง ไม่เว้นแม้แต่ตัวเราเอง นี้คือประโยคที่ ๑


     ๒. ทุกข์ไม่ใช่เรา-เราไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์เป็นผลแห่งเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นเองโดยลำพังมิได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของทั้งสิ้น ว่ากันโดย หลักแห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วนั้น ทุกข์อาจเริ่มเกิดจากอวิชชาเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดสังขาร, สังขารเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดวิญญาณ, ฯลฯ ผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นเวทนา, เวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดเป็นตัณหา, ตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดเป็นอุปาทาน, ...ฯลฯ
     กระทั่งเกิดเป็นความทุกข์ ซึ่งแม้แต่ความทุกข์ ก็มิใช่ของเรา มันเป็นเพียงอาคันตุกะ ที่ผ่านเข้ามาในเรือนจิตของเรา เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่นานก็จากไป เพียงแต่ให้รู้เท่าทัน ในกระบวนการแห่งการเกิดทุกข์ และการดับทุกข์ เราก็จะไม่แบกมันไว้ ไม่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป ไม่ปล่อยให้วงจรปฏิจจสมุปบาทดำเนินต่อจนครบวงจร เพราะตัดได้ก่อนทุกครั้งไป ดังนั้นความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น จึงตั้งอยู่อย่างเก้อเขิน เคว้งคว้าง ด้วยไม่อาจทำอันตรายกับจิตเราได้เลย


    ๓.แม้ที่สุด ตัวกูของกู ก็ไม่มี!! เซน กล่าวว่า ความว่างมีอยู่ก่อนแล้วโว้ย!... ลองหันกลับไปมองดูภาพเขียนที่แขวนอยู่ข้างผนังของบ้านท่านสิครับ ก่อนจะปรากฏเป็นภาพสีน้ำที่สวยงามได้ในปัจจุบัน มันเคยเป็นกระดาษขาว ว่างๆ แผ่นหนึ่งมาก่อน เซน จึงกล่าวว่า ก่อนจะมีความวุ่น ความว่างย่อมมีอยู่ก่อน ไม่ต้องไปวิ่งหาความว่างที่ไหน เพราะทั้งนิพพานและสังสารวัฏ ต่างก็อยู่ตรงที่เดียวกันนั้นนั่นแหละ
     เพียงแต่คนเรา เผลอคิดถึงในอัตตาตัวตนมากเกินไป ตัวกูของกู จึงแน่นหนา จนเกือบจะ (รู้สึกไปเองว่า) ถาวร ลองพิจารณาดู บางทีเราเห็นการแสดงความอหังการ-มมังการ ของใครบางคนเข้า เราถึงกับแสลงใจ พวกเขาเอาตัวตนเป็นใหญ่ ใช้ตัวกูเป็นศูนย์กลาง (Self-center) ที่ยิ่งใหญ่ บางทีเขาอาจจะเผลอคิดไปเองว่า แม้แต่โลกทั้งใบ ยังต้องหมุนรอบตัวเขาด้วยซ้ำ


      ans1 ans1 ans1

     แท้จริงแล้วตัวกูของกูไม่มี พุทธพจน์กล่าวไว้ชัดเจน เรามีตัวตนที่มิใช่ตัวตน เป็นอนัตตาทั้งสิ้น แล้วเราก็ดำเนินชีวิตชั่วขณะของเราไปได้ แม้สังขารร่างกายนั้น เราก็ยืมธรรมชาติเอามาใช้ เมื่อผ่านไป ๔๐-๕๐ ปี สังขารร่างกายย่อมเสื่อมไป ไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ที่ขับมาอย่างหนัก ๑๐ ปี รถยนต์กลับต้องเปลี่ยนอะไหล่ไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้นในขณะที่ คนเราบางคนยังไม่ต้องใช้ Spare part แม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งๆที่อายุ ๕๐-๖๐ ปีแล้วก็ตาม

     เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ร่างกายเป็นมะเร็ง โรคร้ายรุมเร้า กรรมตัดรอน ผู้ที่มีปัญญา ก็ควรพิจารณาว่า สังขารร่างกายมัน เป็นเช่นนั้นเอง โรคร้ายที่กำลังกัดกินร่างกายอยู่นั้น มันเองก็ไม่อยากให้เจ้าของร่างกายต้องตายหรอก แต่มันดำเนินไปตามสัญชาตญาณ เป็นวิถีธรรมชาติของมัน เจ้าของร่างเองอาจได้รับความเจ็บปวด ทรมานจากสิ่งเหล่านั้นอยู่ มากบ้าง น้อยบ้าง ก็ขอให้พิจารณาเวทนานั้นอย่างสุขุมคัมภีรภาพ หาได้มีความทุกข์ใจไม่ เพราะทุกข์ไม่ใช่เรา-เราไม่ใช่ทุกข์ ร่างกายที่เจ็บปวด แต่จิตใจหาได้เสวยความเจ็บปวดนั้น เสียเมื่อไหร่ ...

     พิจารณาจนเห็นธรรมเป็นวิปัสสนา แจ้งประจักษ์แก่จิตว่า แม้ตัวเราก็มิใช่ของๆ เรา (เพราะเกินกว่าจะควบคุมร่างกายได้) ตัวกูของกูจึงไม่มี เมื่อไม่มีซึ่งตัวกู ร่างกายของกูแล้ว ก็หาได้มีอะไรเล่าที่เสื่อม-เจ็บ หรือที่กำลังจะตาย แม้เหตุปัจจัยใด อันอาจนำพาให้ไปเกิดได้อีก มันก็ไม่มี ชีวิตที่เหลืออยู่ จึงมีแต่ความว่าง เป็นสุญญตาวิหาร ที่ระลึกรู้ได้ด้วยลมหายใจ ด้วยหลักแห่งอานาปานสติ
               ๑.มันเป็นเช่นนั้นเอง
               ๒.ทุกข์ไม่ใช่เรา - เราไม่ใช่ทุกข์
               ๓.แม้ที่สุด ตัวกูของกู ก็ไม่มี


 :25: :25: :25:

เมื่อเราท่านต่างก็มี ๓ ประโยค ที่ระลึกรู้ได้อย่างขึ้นใจแล้วไซร้ เราก็จะสงบใจ ปลดล็อกความทุกข์ทุกชนิดในชีวิตได้ด้วยตัวท่านเอง ความทุกข์ใดๆในโลกหล้า ก็ไม่อาจผ่านเข้ามาทำร้ายเรือนจิตของท่านได้ แม้เพียงปลายก้อยเลยทีเดียว ผมเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ... ท่านเชื่อเหมือนกับผม หรือเปล่าครับ? เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง

               คือบทเพลง ธรรมชาติ งดงามขำ
               ทุกข์ใดใด ในโลก ไม่ทิ่มตำ
               ด้วยอตัม-  มยตา  พาตื่นรู้
               สมุทัย ... ดับไป จนหมดสิ้น
               สักว่าเห็น สักว่ายิน ไม่มีสู
               หมดปัญหา เรื่องตัวกู และของกู
               อยากจะรู้ ทุกข์จะเกิด ได้อย่างไร ?


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140506/184117.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ