ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : ธรรมะแก้ทุกข์  (อ่าน 2350 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : ธรรมะแก้ทุกข์
« เมื่อ: พฤษภาคม 24, 2014, 09:57:09 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : ธรรมะแก้ทุกข์

ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น หลายคนเข้าใจว่าธรรมะสามารถแก้ปัญหานั้นได้ทุกอย่าง แต่จริงๆ แล้วปัญหาทางโลกถ้าปัญหาเป็นอย่างนี้เราต้องแก้อย่างนี้ ต้องแก้ด้วยปัญญาทางโลก  ธรรมะไม่สามารถแก้ได้เพราะเป็นปัญหาทางโลก อย่างนี้คือการคิดแบบโลก

    การคิดแบบนี้ยังเป็นระบบความคิดที่เอาเหตุเอาผลทางโลกเข้าไปจับ แต่ไม่ใช่การคิดเหนือโลกที่เป็นนามธรรม พอนำนามธรรมมาฝึกเข้าก็เลยรู้ได้ว่า ธรรมะหรือสมาธิมันไม่เกี่ยวกับการแก้ปัญหาทางโลกได้หรือไม่ได้ แต่มันจะทำให้เรามองปัญหาที่มีอยู่เหนือโลกขึ้นไป คือปัญหามันยังคงมีอยู่ แต่เรากลับมองปัญหานั้นในอีกรูปแบบหนึ่งที่ละเอียดกว่าการมองปัญหาด้วยการมองอย่างทางโลก

    พอทำสมาธิไปเมื่อพอจิตมันไปเบ่งบาน พอจิตรู้จิตตัวเอง มันจะแก้ได้ยิ่งกว่านั้นอีก แต่ตอนแรกๆ จะดูไม่ออกว่ามันจะไปแก้ปัญหาได้อย่างไร เพราะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุของปัญหาและผลที่มาจากปัญหา คือจิตมันเท่าทันความทุกข์ที่เคยเป็นปัญหา เราเป็นทุกข์เพราะไม่เกิดปัญญา แต่พอเกิดปัญญาแล้วสิ่งนั้นไม่ใช่ความทุกข์แล้ว เกิดปัญญาความรู้ขึ้นมา จะเลยโลกไปไกล ปัญหาทางโลกจะถูกมองในอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งไม่ติดอยู่กับเหตุและผลทางโลก


 st12 st12 st12

    เมื่อจิตมันเกิดปัญญาขึ้นมาในดวงจิตแล้ว จิตดวงนั้นจะมองโลกเปลี่ยนไป เห็นซึ่งปัญหาอะไรที่เป็นอวิชชา จิตที่มีปัญญาแล้วจะเท่าทันหมด มันทำให้จิตดวงนี้เกิดความรู้มาก รู้ในระดับพ้นโลก มันก็ไม่เป็นทุกข์ ทุกข์น้อย เห็นซึ่งแนวทางแห่งปัญหาทั้งมวล เห็นถึงที่สุดของปัญหาคืออวิชชา เห็นถึงแนวทางแห่งการหลุดพ้นซึ่งปัญหา คือพระนิพพานจะชัดว่าไปในทางไหน จะได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าหลงโลกก็เข้าใจพระนิพพานยาก

    ดวงจิตวิญญาณที่หลงยึดมั่นถือมั่นตายไปแล้วยังคิดว่าเป็นของของตนเรื่องราวความสัมพันธ์เป็นตัวกูของกู มันเลยไม่จบ เลยก็ต้องมีการเกิดใหม่มารองรับ เพราะจิตดวงนั้นคิดว่าเป็นของของมัน มันไม่ยอมรับความจริงว่ามันไม่เคยเป็นของของเราเลย ทุกคนเกิดขึ้นมาก็แค่มายืมไปใช้เท่านั้น คือไม่มีสิ่งใดเป็นของใคร เมื่อเราเห็นอาการนี้ชัดเจนเราจะไม่หลงโลก จิตเกิดเป็นสติที่เรียกได้ว่ามหาสติ



    การรู้ในเวทนานอกจากเป็นเวทนาที่จิตปกติจะรู้แล้ว พอจิตที่เป็นมหาสติ มันก็จะรู้เวทนาที่ละเอียด เป็นเวทนาที่สูงขึ้นไปอีก และจิตก็เหมือนกัน จิตที่เป็นมหาสติก็เท่าทันจิตทุกอย่าง ก็เป็นจิตที่ละเอียดเข้าไปในจิตอันเป็นนามธรรม และข้อสำคัญที่สุดก็คือ ตอนที่มันเวียนไปเกิดความรู้ในธรรมมันจะไปรู้ธรรมที่สูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก คือธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ อันนี้ก็เป็นการเข้าถึงพระนิพพานด้วยการเจริญสติ อันเป็นสติปัฏฐาน 4 คือ จิตจะรู้ละเอียดลงไป คือนอกจากในธรรมที่เวียนไปเกิดความรู้ในธรรมแล้ว มันยังไปรู้ถึงว่ามันยังไม่มีรูป เรียกว่าธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรภูมิ

    อันเป็นธรรมหลุดพ้นสามารถยึดจับสติเข้าไปถึงภูมิธรรมในแก่นของมันด้วยวิธีการนี้ก็ได้ เมื่อจิตตั้งมั่นสูงสุดแล้ว เพราะสติปัฏฐานสติมันจะเวียนไป 4 อย่างเช่นรู้ว่าทำอะไร ยืน เดิน นั่ง นอน สติปัฏฐานจะรู้ในนี้ แต่พอมันเป็นมหาสติปัฏฐานขึ้นมา นอกจากกายที่รู้ในสิ่งที่กายกระทำ มันยังรู้ไปถึงกายละเอียด คือมันตั้งมั่นแล้วมันเลยไป

    ans1 ans1 ans1

    ทีนี้มันเวียนไปที่จิต มันก็จะไปรู้จิตในจิต ซึ่งมันก็สูงกว่าจิตปกติ พอไปธรรมมันก็ไปรู้ธรรมในธรรม คือนอกจากการพิจารณาธรรมนี้แล้ว มหาสติปัฏฐานยังไปรู้ธรรมในธรรม อันเป็นโลกุตรธรรมคือธรรมที่ไม่มีสมมติบัญญัติ มันก็เลยไปถึงแก่นของแก่นที่เป็นธรรมที่สูงสุดได้เช่นกัน

    วิธีนี้ก็ไปบรรจบกันกับการถอดความคิดออกเป็นส่วนๆ  และจิตพรากออกจากความคิด จนเข้าสู่จิตเดิมแท้.



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/180514/90619
ภาพจาก http://www.sdsweb.org/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ