ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : อำนาจสมมติบัญญัติ  (อ่าน 2334 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สมาธิชาวบ้าน : อำนาจสมมติบัญญัติ
« เมื่อ: มิถุนายน 09, 2014, 11:46:53 am »
0


สมาธิชาวบ้าน : อำนาจสมมติบัญญัติ

การฝึกสมาธินั้นจำเป็นต้องใช้อุบายกรรมฐานเพื่อไปถึงสมาธิ แต่พอเราไปถึงเข้าถึงสมาธิได้บ่อยๆ แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุบายกรรมฐานกับจิตก็ได้ จิตสงบตัวเองด้วยจิตเองได้ แต่ตอนแรกจิตจะไม่รู้ว่าจะสงบอย่างไร มันจึงจำเป็นต้องไปอยู่กับลมหายใจ ไปอยู่กับคำภาวนา ไปอยู่กับการเคลื่อนไหวของกาย อะไรก็ได้ที่ทำให้จิตสงบลง มันจะไปอยู่กับความคิดนั้นๆ

ปกติแล้วถ้าไม่มีอุบายกรรมฐาน เวลาเราทำสมาธิ เราก็ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหน เหมือนนั่งหลับตาแล้วคิดไปเรื่อย เพราะจิตเสพความคิดหลายรูปแบบ เรานั่งหลับตาความคิดก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนมันสุดสายความคิด จิตมันก็จะออกจากดงความคิด ซึ่งการที่คิดไปเรื่อยมันทำให้ไปสุดสายความคิดได้ยาก จิตอยู่ในดงความคิด เพราะคิดหลายอย่างในทีเดียว เพราะจิตมันถูกรายล้อมด้วยความคิดที่เป็นสมมติบัญญัติ จิตมันจึงไม่เป็นตัวของตัวเอง


 :25: :25: :25:

พระพุทธเจ้ารู้ว่า จิตต้องมีอุบายเพื่อให้จิตแยกออกจากความคิดที่รายล้อม พอจิตมีอิสระจากความคิดแล้ว จิตมันถึงเป็นตัวของตัวเอง มันจะเกิดปัญญาอย่างใหม่ เรียกว่าปัญญาความรู้แจ้งเห็นจริง แต่ปัญญานี้มันจะเกิดก็ต่อเมื่อจิตมันเป็นอิสระจากความคิดก่อน ถ้าตกอยู่ใต้อำนาจความคิด ปัญญามันจะไม่เกิด มันจะมีแต่ความคิดที่เป็นสมมติบัญญัติมารายล้อมจิตอยู่ จิตจะมีปัญญาแค่ในสมมติบัญญัติที่มันกำหนดอยู่

ต่อเมื่อมันเป็นอิสระมันก็จะเป็นตัวของตัวเอง จิตมันจะเริ่มรู้ความจริงว่าเป็นความจริงแท้ ความจริงที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ความจริงที่เกิดขึ้นทางกาย ความจริงที่เกิดขึ้นทางใจ จิตที่รู้ความจริง ที่เป็นความจริงแท้แล้ว จิตมันก็อยู่ในสภาพของการรู้ความจริง มันจึงนำไปสู่ปัญญาหลุดพ้นได้ มันจะรู้มากขึ้น รู้มากขึ้น รู้ในสิ่งที่เลยโลกออกไป
ถ้าเห็นทางเดินไปสู่พระนิพพานไม่ชัด ปฏิบัติไปก็อาจจะมีการหลงทาง หลงไปคิดว่าของต่างๆ เป็นของของตน ไปเก็บสะสมไว้ ในที่สุดดวงจิตวิญญาณนั้นก็จะหลงทาง สะสมไปก็กลับมาเกิดอีก


 ans1 ans1 ans1

ความคิดของเราเองที่เป็นสมมติบัญญัติ ถ้าเราปฏิบัติไปในโลกุตรภูมิ ก็จะเห็นความคิด เมื่อเห็นความคิดที่เป็นสมมติบัญญัติ พอจิตเห็นจิต ก็จะเห็นอาการของความคิดที่มันเกิดขึ้นในจิตของเรา

แต่พอมันเลยสมมติไป มันเป็นแค่ปรากฏการณ์เฉยๆ แล้วรู้ว่าปรากฏการณ์ที่อยู่ในจิต เมื่อมันไม่มีสมมติบัญญัติ มันจะไม่มีความหมาย มันเป็นปรากฏการณ์เหมือนฟ้าแลบ


 :96: :96: :96:

แต่พอมันมีสมมติบัญญัติมาตีความปรากฏการณ์เหล่านี้ อารมณ์มันจะตามมา ตอนเป็นปรากฏการณ์ จิตที่มันอยู่เหนือสมมติบัญญัติมันอยู่เฉยๆ แต่พอมีสมมติบัญญัติ จิตจะรู้ว่ามันชอบหรือไม่ชอบ เกิดการตีความเพิ่มอารมณ์จิตเข้าไป ผูกพันยึดมั่นว่าถูกใจหรือไม่ถูกใจ พอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ

จิตเริ่มไปรู้ตอนที่จิตไปรู้สมมติบัญญัติ แต่ตอนที่มันเป็นปรากฏการณ์จิตไม่มีการรู้ จิตจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ ชอบหรือไม่ชอบ เพราะมันไม่มีสมมติบัญญัติมาจับ เราไปตกอยู่ภายใต้อำนาจของสมมติบัญญัติ จิตเราถึงโดนลากไปดีใจก็ได้ ไปเสียใจก็ได้ ความสำคัญของการปฏิบัติไปก็เพื่อรู้สิ่งนี้ มันเลยการตีความ ถ้าตราบใดที่ยังตีความได้ ก็ยังอยู่ในอำนาจของความคิด.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/080614/91385
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ