ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'ไมเกรน' โรคร้ายเยียวยาได้ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว  (อ่าน 2340 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


'ไมเกรน' โรคร้ายเยียวยาได้ : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
โดยพระชาย วรธัมโม เรื่อง อนันต์ จันทรสูตร์ ภาพ

ผู้เขียนป่วยด้วยโรคไมเกรนตั้งแต่อายุ ๑๘ นับไปนับมาสิริรวมแล้วป่วยมานาน ๒๘ ปี มีแนวโน้มว่าจะมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ

ไมเกรนที่ผู้เขียนเป็นเรียกได้ว่าเป็นอาการไข้อย่างหนึ่งก็ว่าได้ โดยเริ่มแรกจะมีอาการตาลายมองอะไรจะเห็นเป็นประกายเส้นๆ เวลามองหน้าคนจะเห็นแค่ครึ่งเดียวคล้ายๆ กับเวลาเราหน้ามืด อาการนี้จะเป็นอยู่ประมาณ ๑๕ นาทีหลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงจากใจกลางศีรษะ ตามด้วยอาการลมตีในท้องจนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้เวียนหัวอาเจียนอย่างรุนแรง

จากนั้นจะมีอาการใจสั่น ลมหายใจอ่อนระทวยจนรู้สึกว่าใจจะขาด ใจเหลือเพียงนิดเดียวราวกับจะหมดลมหายใจหรือเกือบจะสิ้นลมหายใจไปเลย รวมทั้งมีความรู้สึกหนาวคล้ายคนเป็นไข้ ไม่มีเรี่ยวแรง เดินเหินไปไหนไม่ไหว เวลาเคลื่อนไหวร่างกายจะมีอาการปวดหัว หากเอาศีรษะก้มลมจะยิ่งมีอาการปวดศีรษะมากยิ่งขึ้น อาการนี้จะเป็นอยู่ ๒ วัน หลังจากนั้นภายในเช้าวันที่สามก็จะหายเป็นปกติ

หากมีอาการไมเกรนเกิดขึ้นต้องนอนพักผ่อนเพียงอย่างเดียว


 :32: :32: :32:

สำหรับการเยียวยารักษาไมเกรนยังไม่มียารักษาให้หาย มีแต่ยากินสำหรับระงับอาการเป็นคราวๆ ไป ยาบางชนิดมีเป็นชุดประกอบไปด้วยตัวยา ๕ เม็ด ผู้เขียนเคยใช้ยาชุดนี้เพราะมีเพื่อนพระนำมาถวายให้ฉัน ปรากฏว่าเป็นยาที่ดีมากคือพอเริ่มเห็นภาพเป็นประกายก็รีบฉันทันที เมื่อฉันไปแล้วนอนพักผ่อนสัก ๑-๒ ชั่วโมง ก็สามารถทำการงานได้ตามปรกติ

กับตัวยาอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นยาเม็ดเดียว อันนี้ค่อนข้างมีแพร่หลาย ตามโรงพยาบาลต่างๆ มักจ่ายยาตัวนี้ให้คนไข้ที่เป็นไมเกรน แต่มีประสิทธิภาพต่ำ แค่บรรเทาอาการปวดหัวได้เพียง ๔๐-๕๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ยาตัวนี้ไม่สามารถควบคุมอาการไข้ความรู้สึกหนาว ความรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน รวมทั้งไม่สามารถควบคุมอาการใจสั่นไปได้ จัดเป็นตัวยาที่มีคุณภาพจำกัดแค่บรรเทาปวดได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง

นั่นเป็นวิธีการเยียวยาด้วยการใช้ยาซึ่งเป็นสารเคมี แน่นอนว่ายาไม่ใช่อาหาร เพราะฉะนั้นการใช้ยาซึ่งเป็นสารเคมีในการเยียวยารักษาย่อมมีผลกับร่างกายในอนาคต สารเคมีจะเข้าไปสะสมในร่างกายและส่งผลเสียกับร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น

 :96: :96: :96:

ยังมีการเยียวยารักษาไมเกรนในรูปแบบอื่นๆ อีกเช่นการนวด การจับเส้น การฝังเข็ม ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ยาซึ่งผู้เขียนแนะนำให้ใช้วิธีการเหล่านี้ดีกว่า ผู้เขียนเคยฝังเข็มด้วยการปักเข็มลงที่กลางกระหม่อมก็ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ทีเดียว

บางแห่งมีวิธีการที่พิสดารไปกว่านั้นคือจับผึ้งมาต่อยตามร่างกายหรือที่ศีรษะ ซึ่งอันนี้เรียกว่าหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง แต่ผู้เขียนเกรงว่าคนป่วยอาจจะตายเสียก่อนเพราะพิษจากเหล็กในของผึ้ง จึงไม่ขอแนะนำ อีกประการหนึ่งก็คือผึ้งเมื่อต่อยแล้วมันก็ต้องตาย เป็นการทำลายชีวิตสัตว์โดยใช่เหตุ ถึงอย่างไรอาการปวดหัวไมเกรนก็คงไม่ได้หายไป ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่ การใช้ผึ้งต่อยอาจจะไม่คุ้มเพราะต้องละเมิดศีลข้อหนึ่งไปด้วย

และยังมีวิธีการเยียวยาในรูปแบบอื่นๆ อีก เช่น การใช้ศีลและสมาธิในการรักษา มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งเธอไปบวชเป็นแม่ชี อาการไมเกรนก็หายไปเหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้อธิบายได้ว่าการบวชทำให้มีกำลังของบุญกุศลแรงขึ้น โรคภัยไข้เจ็บซึ่งเป็นมารหรือเจ้ากรรมนายเวรอาจจะไม่สามารถตามทันได้ เนื่องจากกุศลธรรมแรงขึ้น หรืออาจจะอธิบายได้ว่าการมีชีวิตนักบวชเป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่วุ่นวาย พร้อมทั้งแม่ชีได้มีโอกาสปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจึงทำให้สุขภาพจิตดี เมื่อสุขภาพจิตดีก็ทำให้โรคภัยไข้เจ็บบางอย่างหายไป อย่างนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน



ส่วนอาการไมเกรนของผู้เขียนทุกวันนี้ยังไม่หายสนิทดีนัก เพียงแต่มีอาการดีขึ้น สาเหตุเนื่องมาจากผู้เขียนเปลี่ยนพฤติกรรมจากฉันเนื้อสัตว์มาเป็นอาหารมังสวิรัติ ตอนที่เปลี่ยนมาฉันมังสวิรัติก็ไม่ได้ตั้งใจว่าขอให้โรคภัยไข้เจ็บหายไป เพียงแต่รู้ตัวว่าตนเองน่าจะมีมารคือโรคภัยไข้เจ็บทางร่างกายเยอะไปหน่อย การหันมาสมาทานงดเนื้อสัตว์น่าจะช่วยลดวิบากกรรมตรงนี้ลงไปได้บ้าง ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากที่ฉันมังสวิรัติได้ ๒๐ ปีก็รู้สึกว่าเราเป็นไมเกรนน้อยลง

ไม่ใช่แค่ไมเกรนเท่านั้นที่เป็นน้อยลงแม้แต่โรคผิวหนังบางอย่าง เช่น สิวที่เคยขึ้นเต็มหน้าก็ค่อยๆ หายไปเนื่องจากเนื้อสัตว์มีไขมันที่ง่ายต่อการทำให้เกิดโรคผิวหนังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหมู วัยรุ่นที่ต้องการมีหน้าเนียนนุ่มปราศจากสิว ปราศจากหน้ามันควรหันมาบริโภคผักผลไม้ให้มากขึ้นหรือหันมากินมังสวิรัติแทนดีกว่าการใช้โฟมหรือครีมรักษาสิวเพราะนั่นเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ

นอกจากนี้เวลามีบาดแผลก็หายไวเนื่องจากการกินมังสวิรัติทำให้ผิวหนังมีไขมันน้อยแผลจึงหายเร็ว ในขณะที่การกินเนื้อสัตว์มีผลให้ผิวหนังมีไขมันมาก เวลาเป็นแผลจึงหายช้า

 :91: :91: :91:

ส่วนอาการไมเกรนของผู้เขียนที่ว่าดีขึ้นก็คือ เราเป็นไมเกรนน้อยลง จากปกติที่เคยเป็นประมาณเดือนละครั้งซึ่งจัดว่าถี่มาก ก็กลายเป็นปีละครั้ง หรือ ๒-๓ ปีต่อครั้ง จนกระทั่งทิ้งระยะห่าง ๕-๖ ปีจึงเป็นครั้ง หรือเป็นแต่ละครั้งอาการก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นอาเจียนเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ผู้เขียนหันมาใช้อาหารเสริมซึ่งดีกว่าการใช้ยาเพราะไม่มีสารเคมีหรือผลข้างเคียง การหายจากไมเกรนของผู้ป่วยแต่ละคนจึงมีวิธีการที่แตกต่างหลากหลาย

คุณผู้อ่านที่เป็นไมเกรนอาจจะต้องค้นหาวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมกับตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการทางพุทธ เช่น บวช ถือศีล ปฏิบัติสมาธิวิปัสสนาจะช่วยได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหันมารับประทานอาหารมังสวิรัติ รวมทั้งการแพทย์ทางเลือกที่ปราศจากการใช้ยาวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะไม่หายสนิทแต่เราสามารถเยียวยาได้

การป่วยด้วยโรคไมเกรนหรือป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม ถือเป็นเครื่องเตือนสติที่ดีอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราตระหนักรู้ว่า “การมีร่างกายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง” เป็นไปไม่ได้เลยเมื่อเรามีร่างกายแล้วร่างกายจะไม่นำทุกข์มาให้เรา ถึงแม้เราจะไม่ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บอะไรสักโรค วันหนึ่งเมื่อเราแก่ชราลงไปก็ต้องป่วยด้วยโรคอะไรสักอย่างในชีวิต เมื่อนั้นเราก็จะเริ่มเป็นทุกข์กับร่างกายของเรา ไม่ว่าเราจะมีรูปร่างหน้าตาดีเพียงใดเมื่ออายุมากขึ้นสังขารก็ย่อมชำรุดทรุดโทรมลงไป ไม่มีใครหลีกหนีความทุกข์จากการเจ็บป่วยของร่างกายนี้ไปได้


 :s_hi: :s_hi: :s_hi:

สมัยผู้เขียนบวชใหม่ๆ พระอาจารย์ดี ติสสะเทโว เคยสอนผู้เขียนด้วยธรรมะสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “เรามีนิ้วมือ เราก็ต้องเป็นทุกข์กับนิ้วมือของเรา หากวันใดนิ้วมือของเราถูกมีดบาด เราก็ต้องเป็นทุกข์ไปกับนิ้วมือของเรา”

การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐก็จริง แต่การไม่มีโรคอาจทำให้เรากลายเป็นคนหลงโลก หลงไปว่าเรามีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง หากวันใดเราเจ็บไข้ได้ป่วยล้มหมอนนอนเสื่ออาจทำให้เราทุกข์หนักกว่าคนอื่นเพราะมัวแต่มีสุขภาพดีเลยลืมพิจารณาว่าไปว่าโลกไม่ได้มีความสุขแค่ด้านเดียวแต่มีด้านทุกข์รวมอยู่ด้วย คนที่มีโรคประจำตัวน่าจะได้เปรียบในเรื่องการมีดวงตาเห็นธรรมเร็วกว่าคนอื่น เพราะเห็นทุกข์ก่อนใคร นี่แหละเขาเรียกว่า “การมองโรคอย่างตรงไปตรงมา” จงเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส อย่าเจ็บไข้ได้ป่วยไปเปล่าๆ แต่เจ็บป่วยอย่างมีสติปัญญา จะได้เป็นคนไม่หลงโรค

 ans1 ans1 ans1

มารทั้ง ๕
๑.กิเลสมาร คือ กิเลสซึ่งทำให้เรามีความประพฤติ และนิสัยไม่ดีต่างๆ ในแง่ของมารหมายถึง กิเลสที่คอยขัดขวางไม่ให้เราทำความดี
๒.ขันธมาร คือ ร่างกายและจิตใจของเรา ซึ่งบกพร่องแล้วเป็นมารผลาญตัวเอง ในแง่ของมารหมายถึง ขันธ์ที่คอยกีดขวางการทำความดี เช่น ต้องการฟังธรรมะ แต่หูหนวก ไม่สามารถฟังธรรมได้ เป็นต้น
๓.อภิสังขารมาร อภิสังขารคือ ความคิดนึกอันประกอบกับอารมณ์เป็นมารเพราะเป็นตัวปรุงแต่งกรรม ทำให้เกิดชาติชรา เป็นต้น ขัดขวางไม่ให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ
๔.เทวบุตรมาร เทวดาที่เป็นมาร เช่น ท้าววสวัตตีจอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี เป็นต้น มารที่มาทำร้ายพระพุทธเจ้า
๕.มัจจุมาร คือ ความตายที่ตัดโอกาสการทำความดีของเรา


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140605/185938.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ