พิมพ์

[raponsan]

ไผ่ล้อมเรดิโอ สถานีแห่ง 'เสียงธรรมเคล้าเสียงเพลง'

เรื่องและภาพ ไตรเทพ ไกรงู

"ไผ่ล้อมเรดิโอ" คลื่นความถี่ เอฟเอ็ม ๙๑.๗๕ เมกะเฮิรตซ์ เป็นวิทยุชุมชนที่คลื่นแห่งความสร้างสรรค์ ในการอุปถัมภ์ของ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทศิษย์เอกหลวงพ่อพูล เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ประธานมูลนิธิหลวงพ่อพูล  อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุที่มากมายด้วยข้อมูลสาระความรู้ ทันข่าวทันเหตุการณ์ เผยแพร่สาระ ธรรมะคำสอน ควบคู่ไปกับความบันเทิงหลากหลายสไตล์จากหลากหลายดีเจ ที่จะคอยผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างความสนุกสนานให้กับคุณผู้ฟัง ในรูปแบบ "เสียงเพลงเคล้าเสียงธรรม"

“อาตมาไม่ใช่พระนักธรรม ไม่ใช่พระนักเทศน์ แต่เป็นพระนักทำที่นำพาคนให้เข้าถึงธรรม ซึ่งวิธีการนำพาคนให้เข้าถึงธรรมนั้นมีหลากหลาย อย่างกับสถานีวิทยุชุมชนไผ่ล้อมเรดิโอ เป็นการเปิดเพลงแล้วใส่ข้อคิดทางธรรม โดยเกือบจะไม่รู้เลยว่าขณะนี้กำลังฟังธรรมอยู่ จึงไม่รู้สึกว่าการฟังธรรมเป็นเรื่องเบื่อหน่าย” นี่เป็นวัตถุประสงค์ของการตั้งสถานีวิทยุของหลวงพี่น้ำฝน

 

รูปแบบของรายการของ "ไผ่ล้อมเรดิโอ" นั้น หลวงพี่น้ำฝน บอกว่า เป็นการเปิดเพลงที่หลากหลายเช่นเดียวกับสถานีวิทยุทางโลก แต่สถานีทางธรรมอาจจะพิจารณาเนื้อหาของเพลงที่ให้ข้อคิดมากกว่า ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้นักแต่งเพลงล้วนใส่เนื้อหาสาระสะท้อนชีวิตให้ข้อคิดได้ดีมาก ส่วนข้อแตกต่างที่ชัดเจน คือ สถานีทางโลกมีข่าวต้นชั่วโมง แต่สถานีทางธรรม มีธรรม มีคำคมสอดแทรกต้นชั่วโมง เช่น ทุกคนเกิดมาแล้วต้องมีหน้าที่ มีแล้วต้องทำให้ดี มิใช่มีแล้วทำไปวันๆ

รูปแบบการเผยแผ่ธรรมนั้น มีหลากหลายสุดแล้วแต่พระวัดใดจะมีความถนัดทางใด บางวัดอาจจะเด่นเรื่องปฏิบัติ พระบางรูปอาจจะเก่งเรื่องเทศน์ ในขณะที่บางวัดอาจจะเด่นเรื่องพิธีกรรม รวมทั้งบางวัดอาจจะเด่นเรื่องวัตถุมงคล รูปแบบเหล่านี้ล้วนทำให้คนเข้าถึงธรรมได้เช่นกัน อาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน แต่ทุกสิ่งคือ รู้ธรรมเพียงข้อเดียวแล้วทำ ดีกว่ารู้ธรรมนับร้อยข้อแล้วไม่ทำเลยสักอย่าง การนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัดไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่าจะมีธรรมสูงกว่าคนแต่งตัวธรรมดาเข้าวัด

“เมื่อพูดถึงการฟังเทศน์ ฟังธรรม เด็กและวัยรุ่นจะเมินหน้าหนี แต่การเปิดเพลงที่วัยรุ่นชอบแล้วใส่ธรรม ใส่ข้อคิด ไปเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถตรึงวัยรุ่นไม่ให้เปลี่ยนสถานีได้” หลวงพี่น้ำฝน กล่าว

 

ส่วนการเผยแผ่ธรรมนั้น หลวงพี่น้ำฝน พูดไว้อย่างน่าคิดว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมได้ทุกๆ ข้อ ความสำเร็จในการเผยแผ่ธรรมนั้น ไม่ต้องอะไรมากเพียงได้ธรรมได้ ๑ ข้อ หรือ ข้อคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว การเผยแผ่ธรรมที่ง่ายสุด คือ การเขียนคติธรรม คำคน ติดไว้ตามต้นไม้ หรือ แม้กระทั่งในห้องน้ำ ให้คนได้อ่านเล็กน้อยๆ เท่านี้ก็พอ ในขณะที่การให้ธรรมะล้วนๆ คนอาจจะจำอะไรไม่ได้เลยก็ตาม

ปริวรรต "บทสวดศพ"

การสวดพระอภิธรรมนั้น มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ งานวิจัยของ พระอภินันท์ อภิปุญโญ หัวหน้าโครงการวิจัย "รูปแบบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา ที่เอื้อต่อกระบวนการเรียนรู้ธรรมะของประชาชน อ.นาหมื่น จ.น่าน เคยทำการวิจัยและสรุปผลไว้ว่า "การกล่าวบทสวดเป็นภาษาบาลี ประชาชนประมาณ ๙๕% ไม่รู้ทั้งคำแปล และความหมาย”

อย่างไรก็ตาม หลวงพี่น้ำฝน ได้ปริวรรตบทสวดพระอภิธรรม โดยในการสวดจบแรก ท่านรักษารูปแบบการสวดบาลีเอาไว้ ส่วนจบที่เหลือ ท่านแปลเป็นภาษาไทย รวมทั้งนำมาเขียนเป็นร้อยกรองใส่ทำนองเข้าไป จนกลายเป็นว่า “พิธีกรรมได้ทำหน้าที่เป็นสื่อนำคนเข้ามาสู่ธรรมได้อย่างสมบูรณ์"

 

ทั้งนี้หลวงพี่น้ำฝนได้พยายามค้นหาคำแปล โดยขอความรู้จากพระที่มีความสามารถในการแปลภาษาบาลี เมื่อได้ความหมายแล้ว ก็ให้ อ.กมล วีรวงศ์ เรียบเรียงถ้อยคำ แต่ให้คงความหมายเอาไว้ให้มากที่สุด พร้อมทั้งเชิญอาจารย์จากกรมศิลปากรมาช่วยฝึกการสวดพระลูกวัดไผ่ล้อม ในการสวดทำนองต่างๆ ซึ่งมีอยู่ ๓ ทำนอง คือ สวดทำนองสรภัญญะ สวดทำนองเสนาะ และสวดทำนองล่องเรือพระนคร ทั้งนี้ หลวงพี่น้ำฝนได้ร่วมฝึกท่องด้วย เพื่อแก้ไขทำนองสวดที่บกพร่อง รวมทั้งให้น่าฟังยิ่งๆ ขึ้น

ครั้งแรกที่ให้พระลงสวดศพที่วัดไผ่ล้อม หลวงพี่น้ำฝน บอกว่า ถึงกับทำให้ญาติสนิทมิตรสหายผู้ตายถึงกับออกอาการที่เรียกว่า "อึ้ง" เลยทีเดียว ขณะเดียวกัน ทางวัดก็ยังทำคู่มือแปลบทสวดพระอภิธรรม เพื่อให้ญาติสนิทมิตรสหายของผู้ตายได้อ่านไปพร้อมๆ กับพระสวด

"จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ภาพคนที่เคยคุยกันระหว่างฟังสวดศพ ไม่ค่อยมีให้เห็นเลย ทุกคนตั้งใจอ่านคู่มือแปลบทสวดพระอภิธรรมไปพร้อมๆ กับการฟังพระสวด และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้นำพระของวัดไผ่ล้อมไปสวดพระอภิธรรมที่วัดเทพศิรินทร์ พร้อมกับนำคู่มือแปลบทสวดพระอภิธรรมไปแจกด้วย ปรากฏว่า แขกที่มาร่วมงานท่องคลอไปตามเสียงสวดของพระ ซึ่งไม่ผิดวินัยสงฆ์ และธรรมเนียมพุทธแต่อย่างใด" หลวงพี่น้ำฝนกล่าว

 

ทั้งนี้ หลวงพี่น้ำฝนพูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “ทุกวันนี้คนไทยก็เลยพากันไปติดอยู่ที่พิธีกรรมอันเป็นสื่อของธรรมเท่านั้น  พากันหลงลืมธรรมอันเป็นแก่นสารไปอย่างน่าเสียดาย ยามเราไปฟังสวดพระอภิธรรมในงานศพ จึงไม่สู้ได้อะไรมากมายนัก

นอกจากฟังสวดจบแล้วก็กลับบ้าน หรือบางงานก็มีเลี้ยงข้าวต้ม แล้วก็จบพิธีกรรมอย่างห้วนๆ ไม่มีอะไรในทางจรรโลงใจให้สูงส่งขึ้นมาเลย บางวัดมีคนไปร่วมงานศพเป็นพัน ทั้งๆ ที่เป็นงานของผู้มีชื่อเสียง นั่นเป็นโอกาสดีที่สุด ที่พระจะได้แสดงธรรมแก่คนหมู่มาก แต่พระก็เฉยเสีย ไม่เพียงแต่ไม่แสดงธรรมเท่านั้น ถ้าพิธีกรรม ไม่นำคนเข้าสู่ธรรม หรือไม่เปิดโอกาสให้คนได้รู้จักธรรม พิธีกรรมนั้นๆ ก็ไร้ความหมาย

พิธีกรรมอาจเป็นได้แค่ "พิธีพราหมณ์" ที่ไม่มีแก่นสารอะไรในทางธรรมเอาเลย คงมีแต่การทำไปอย่างนั้นเอง พอเป็นพิธี ไม่รู้ว่าเพื่อใครและเพื่ออะไร การที่คนไทยส่วนใหญ่เบื่อพิธีกรรมในวัด ก็เพราะพระไม่สามารถสอดใส่สาระลง"


 

พิธีขอขมากรรม  ‘ทำบุญอุทิศผลบุญ’

ในวันเสาร์ที่ ๑๒ กรกฎคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๘.๐๙  น. บริเวณด้านหน้า ฌาปนสถานปลอดมลพิษ วัดไผ่ล้อม หลวงพี่น้ำฝนจัดพิธีขอขมากรรมทำบุญอุทิศผลบุญ ให้แก่ผู้แท้งลูก โดยตั้งใจ หรือ ไม่ได้ตั้งใจก็ดี และเจ้ากรรมนายเวร ที่ล่วงลับไปแล้วตั้งสัจจะอธิษฐาน รับพรมงคลวันเข้าพรรษาปฏิญาณตน เริ่มต้นชีวิตใหม่ ปลดทุกข์ มีความสุขร่ำรวย โชคดี  มีเงิน มีทอง เหลือกิน เหลือใช้ ตลอดไปผู้เข้าร่วมพิธี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น                                                         

กำหนดการ เวลา ๑๘.๐๙  น. บัณฑิตศิษย์มีครู อาจารย์เชน พงษ์พรหม ณภัทรไพบูลย์ อาจารย์กบ สักกเทพ วานิช อ่านโองการบูชาเทพยดา พร้อมบูชาถวายเครื่องสังเวยต่อเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

 

หลวงพี่น้ำฝน นำกล่าว ขอขมากรรม อุทิศผลบุญให้แก่ผู้แท้งลูก โดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้มารับผลบุญดังกล่าว โดยถ้วนหน้า จากนั้น หลวงพี่น้ำฝน พร้อมคณะสงฆ์ วัดไผ่ล้อม สวดถอนกรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง   

เสร็จพิธี หลวงพี่น้ำฝนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ รับพรมงคล ขอให้ทุกท่านร่ำรวย โชคดี มีความสุข เพื่อความบริสุทธิ์ ทั้งทาง กาย วาจา และใจ เป็นเสร็จพิธี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.๐๘-๑๔๔๒-๔๒๖๒ และ ๐๘-๗๖๙๘-๔๗๗๗ (หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมพิธีต้องมาด้วยตนเอง และควรมาก่อนเวลา)

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20140708/187796.html