ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ศาสนา-วัฒนธรรม..รากแก้วไทยนี้รักสงบ  (อ่าน 1323 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ศาสนา-วัฒนธรรม..รากแก้วไทยนี้รักสงบ
« เมื่อ: กรกฎาคม 19, 2014, 07:29:42 am »
0


ศาสนา-วัฒนธรรม..รากแก้วไทยนี้รักสงบ

เนื้อเพลง... คืนความสุขให้ประเทศไทย ... ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แต่งขึ้น และเปิดให้คนไทยได้ฟังทุกเช้า-เย็น เพื่อปลุกใจให้เราคนไทย

เนื้อเพลง... คืนความสุขให้ประเทศไทย ... ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แต่งขึ้น และเปิดให้คนไทยได้ฟังทุกเช้า-เย็น เพื่อปลุกใจให้เราคนไทยร่วมกันสร้างความสุขให้แก่บ้านเมืองของเรา โดยกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ร่วมกันหาวิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้คนในชาติกลับมารักกันอีกครั้ง

“วันที่ชาติและองค์ราชา มวลประชาอยู่มาพ้นภัย ขอดูแลคุ้มครองด้วยใจ นี่คือคำสัญญา วันนี้ชาติเผชิญพาลภัย ไฟลุกโชนขึ้นมาทุกครา ขอเป็นคนที่เดินเข้ามา ไม่อาจให้สายไป เพื่อนำรักกลับมา ต้องใช้เวลาเท่าไร โปรดจงรอได้ไหม จะข้ามผ่านความบาดหมาง เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา...”



วิธีการหนึ่งที่มีการนำมาใช้ในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ คือ การนำความเชื่อ วิถีชีวิตในมิติศาสนาและวัฒนธรรมเข้ามามีส่วนร่วม โดยมี กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นเจ้าภาพหลัก ซึ่งในเรื่องนี้ ศ.ดร.อภินันท์ โปษยานนท์ ปลัดวธ. เล่าให้ฟังว่า เรามีแผนเดินหน้าประเทศไทยด้วยมิติทางศาสนาและวัฒนธรรม ตามโครงการสร้างความสุข คืนรอยยิ้มสู่ประชาชน โดยเราจะใช้ทั้งศิลปวัฒนธรรม ดนตรี วิถีชีวิตผสมผสานมิติทางศาสนา

โดยความร่วมมือของศาสนิกสัมพันธ์ นำหลักธรรมเรื่องสามัคคีมาเผยแผ่ให้แก่เหล่าศาสนิกของแต่ละศาสนา ควบคู่กับกิจกรรมคืนความสุขให้แก่คนในชาติ สัญจรไปจัดแสดงตามจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมก็ได้ไปร่วมมหกรรมศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) และกรมศิลปากร ณ ศาลากลางจังหวัดพัทลุง ซึ่งมีนักแสดงและช่างศิลป์จากทั่วประเทศกว่า 1,000 คน มานำเสนอศิลปะและการแสดงที่สร้างความประทับใจและความสุขให้แก่ประชาชน

 :96: :96: :96:

“นอกจากนี้ยังมีการสาธิตและจำหน่ายสินค้าวัฒนธรรม “ของดีบ้านฉัน” เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนด้วย ทั้งนี้ คสช. วธ. และภาคเอกชน จะจัดงานคืนความสุขสู่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศไปจนถึงเดือนกันยายน 2557”

ไม่เพียงเท่านั้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ยังได้ร่วมกับ สมาคมสภาวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จัดเสวนาเรื่อง “วัฒนธรรม : พื้นฐานในการเสริมสร้างความมั่นคงและความสมานฉันท์ของชาติ” โดย ศ.ระพี สาคริก ประธานที่ปรึกษามูลนิธิระพี-กัลยา สาคริก กล่าวไว้ตอนหนึ่งในการเสวนาว่า เราไม่เคยเห็นวัฒนธรรมเกิดขึ้นในสังคมไทยมานานแล้ว แม้กระทั่งคนในครอบครัวก็ยังขาดความเข้าใจและความสามัคคี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นรากฐานที่สำคัญในการเสริมสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ดังนั้นการแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าว

จะต้องเริ่มต้นจากครอบครัวถึงจะแก้วิกฤติชาติได้ ขณะเดียวกันคนในชาติเองก็กำลังเรียกร้องสังคมประชาธิปไตย แต่ก็ยังเกิดคำถามขึ้นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงแล้วคืออะไร ซึ่งหากคำว่าประชาธิปไตยต้องเกิดจากการเลือกตั้ง ตนคิดว่ากำลังเข้าใจกันผิด เพราะการเลือกตั้งคือการอวดอ้างสรรพคุณของนักการเมือง ซึ่งการอวดอ้างเหล่านี้ คือ จุดอ่อนที่ทำให้ชาติเกิดปัญหา ซึ่งหากสังคมต้องการประชาธิปไตยจริง ๆ จะต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมการเลือกตั้งใหม่



’ในหลวงมีรับสั่งว่า ’เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย“ คือ ไม่ใช่ไล่คนที่ไม่ดีออกแล้วเอาคนดีมาใส่ เพราะทุกคนต่างมีส่วนที่ไม่ดีกันทั้งนั้น สิ่งที่เราควรทำคือ ปฏิรูปใจของเราให้คิดในแง่บวก มองในส่วนดีของผู้อื่น ใครทำดีก็ควรส่งเสริมให้กำลังใจ”

ศ.ระพี ยังกล่าวไว้อีกว่า สิ่งสำคัญเราต้องปลูกฝังให้คนไทยทั้งชาติ รักแผ่นดินถิ่นกำเนิด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการรักชาติ รักแผ่นดินจนเป็นที่ประจักษ์ เห็นได้จากการที่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนพสกนิกรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎรได้อยู่ดีกินดี และสอนให้ประชาชนได้ดำเนินชีวิตชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้นหากคนไทยทุกคนปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุข ส่วนการที่ทุกฝ่ายช่วยกันหาวิถีทางสู่ความปรองดองและปฏิรูปประเทศนั้นถือเป็นเรื่องดี แต่ก่อนที่เราจะปฏิรูปประเทศได้ เราต้องปฏิรูปใจให้มีคุณธรรมและจริยธรรมให้ได้ก่อน

อีกส่วนที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ามิติวัฒนธรรม คือ มิติศาสนา ซึ่ง กรมการศาสนา (ศน.) โดย นายกฤษศญพงษ์ ศิริ อธิบดี ศน. ก็ได้รวมพลังศาสนิกสัมพันธ์ ทั้ง 5 ศาสนา ได้แก่ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู และซิกข์ พร้อมองค์กรเครือข่ายศาสนา เข้ามาร่วมแลกเปลี่ยนวิถีแห่ง ศาสนาของตน ภายใต้ศาสนสถาน ศาสนบุคคล ศาสนธรรม มาสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ที่สำคัญยังใช้พลังศาสนา มาขับเคลื่อน “โครงการชุมชนคุณธรรมน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเริ่มต้นจากชุมชนที่อยู่ในความดูแลของ ศน. อาทิ โครงการศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ จำนวน 4,100 แห่ง โครงการลานธรรม ลานวิถีไทย จำนวน  1,000 แห่ง และโครงการศูนย์อบรมคุณธรรมจริยธรรมประจำมัสยิด จำนวน 916 แห่ง รวม 6,016 แห่ง



นายไพรัช ผนิศวรนันท์ ผู้แทนสำนักจุฬาราชมนตรี บอกว่า สำนักจุฬา ราชมนตรีได้มีหนังสือประสานไปยังคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดทุกจังหวัด ขอให้ 4,500 มัสยิดทั่วประเทศร่วมสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยแสดงธรรมกถาในการละหมาดวันศุกร์ เรื่องสามัคคีธรรม กู้วิกฤติสังคม รวมถึงปฏิบัติสิ่งที่ดีงามในเดือนรอมฎอนตามหลักศาสนาด้วย

ขณะที่ ศาสนาจารย์ประคอง โพธิ์ศรีทอง ผู้ประสานงานราชการสัมพันธ์และมิชชันนารี องค์การสหกิจคริสเตียน บอกว่า ศาสนาคริสต์ โดยสภาประมุขบาทหลวงโรมันคาทอลิกแห่งประเทศไทย มีหนังสือแจ้งไปยังอธิการโบสถ์ให้นำเสนอเรื่องการสร้างความสมานฉันท์ทุกวันอาทิตย์ และเทศนาคำสอนเกี่ยวกับความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ รักสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ศาสนิกของเราได้เกิดจิตสำนึกในเรื่องความสามัคคี

หากเราสามารถใช้สิ่งดี ๆ ที่เรามีโดยเฉพาะหลักคุณธรรม จริยธรรม วิถีวัฒนธรรมไทย การเป็นสังคมช่วยเหลือเกื้อกูล ความมีน้ำใจ รวมถึงการมอบรอยยิ้มให้แก่กันได้เหมือนในอดีต เชื่อว่า สยามเมืองยิ้ม สังคมไทยที่งดงาม และความสุขจะกลับคืนมาสู่คนไทยได้อย่างแน่นอน.

มนตรี ประทุม


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.dailynews.co.th/Content/education/253013/ศาสนา-วัฒนธรรม..รากแก้วไทยนี้รักสงบ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ