ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เรียกไลค์-ล่าแชร์คลิป"ตบตี"สนั่นออนไลน์  (อ่าน 1232 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29363
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เรียกไลค์-ล่าแชร์ คลิป "ตบตี" สนั่นออนไลน์
โดย...นรินทร์ ใจหวัง

ดูเหมือนทุกวันนี้คลิปวิดีโอเหตุการณ์วัยรุ่นยกพวก"ตบ-ต่อย-ตีกันอย่างดุเดือดตามสถานที่ต่างๆจะได้รับความสนใจยิ่งกว่าข่าวดาราเสียอีก บ้างว่าไม่น่าเอามาลง บ้างว่าไร้สาระสิ้นดี แต่ก็ยังไม่วายเข้าไปส่อง กดไลค์คอมเมนต์กันอย่างถล่มทลาย ทำให้คลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ต่อไปจนกลายเป็นค่านิยม"สร้างความเป็นฮีโร่"กันอย่างไม่รู้ตัว

กล้าได้กล้าเสีย ตบนี้แด่เธอเพื่อนเอ๋ย

นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่าสถานการณ์ตบ-ต่อย-ตีที่กำลังแพร่หลายทางสื่อออนไลน์นั้นเป็นเพียงช่วงหนึ่งของการหลงผิดในวัยรุ่นอันเกิดจากฮอร์โมน ทำให้สมองส่วนอารมณ์ไวต่อสิ่งเร้า ขาดการยับยั้งจากสมองส่วนรู้คิด และพร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ !!!

"ความต้องการการยอมรับจากเพื่อนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นใฝ่หาอยู่แล้ว แต่เมื่อสมองส่วนอารมณ์มีแรงจูงใจมากกว่า วัยรุ่นจึงยอมที่จะเจ็บตัว ยอมที่จะเป็นคนถูกทำร้าย หรือยอมเป็นผู้ทำร้ายอะไรก็ตามที่จะทำให้เป็นฮีโร่ในกลุ่ม มีเพื่อนรุมล้อมมากๆ แต่จะเห็นว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคน เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับทุนชีวิตแต่ละคนด้วย ถึงจะก้าวเข้ามาสู่วัยรุ่นก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องแสดงออกถึงความรุ่นแรงด้วยการตบตี

ทุนชีวิตคือ ทักษะรู้คิด กับจิตสำนึก ต่อตัวเองต่อสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่กระบวนการพัฒนาในเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก จะพัฒนาได้จากครอบครัว ที่โรงเรียน กลุ่มเพื่อนชุมชน และสังคม การพัฒนาจิตสำนึก เบ้าหลอมก็ต้องดี มีตัวอย่างที่ดีให้ดู จนเกิดเป็นพฤตินิสัยขึ้นมา ถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เด็กถึงเจอสถานการณ์ยั่วยุ ก็จะไม่แสดงความรุนแรงขึ้นมา"


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่ก็ควรเป็นผู้ติดอาวุธทางปัญญาให้บุตรหลานของตัวเองด้วย

"พ่อแม่ต้องไม่เป็นแบบอย่างไม่ดี ถ้าเด็กจะซึมซับการใช้ความรุนแรงในบ้านก็ จะจดจำและนำไปใช้ข้างนอกกับคู่กรณี ครอบครัวต้องสอนเรื่องการแก้ไขปัญหาความรุนแรงโดยสันติวิธี เปิดใจพูดคุย ให้ความไว้วางใจ การให้เกียรติของพ่อแม่ ผู้คนในครอบครัวก็จะเป็นอาวุธทางปัญญาให้กับเด็ก

โรงเรียนก็ต้องมีกิจกรรมที่สะท้อนความรู้สึก เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ครูต้องทำให้นักเรียนเห็นว่าระหว่างที่มีความเครียด หรือไม่พอใจกันขึ้นมา จะแก้ปัญหาได้อย่างไร จะทำให้เขาจัดการปัญหาได้โดยไม่ต้องลงไม่ลงมือ ที่สำคัญกว่านั้นคือการปลูกฝังให้เด็กรู้เท่าทันสื่อ

"ถ้าห้ามเล่นสื่อออนไลน์ไม่ได้ ก็ต้องสอนให้เด็กวัยรุ่นใช้สื่อให้เป็น โดยใช้ชั่วโมงคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนนั่นแหละ สอดแทรก "วิชารู้เท่าทันสื่อ" เข้าไป เพราะนอกจากวัยรุ่นที่ทุ่มตัวเองเป็นนักกีฬาสังเวียนตบ-ตีแล้ว กองเชียร์ช่างยุกับตากล้องเองก็มีปัญหาไม่ต่างกัน เพราะก็ต่างใช้อารมณ์ควบคุมความรู้คิดบวกกับการใช้สื่ออย่างไม่รู้เท่าทันเช่นกัน เรื่องดังกล่าวต้องแก้ไขให้เด็กรู้ในสิ่งที่ถูกต้องถึงแม้ไม่มีกฎหมายที่บังคับโดยตรง แต่ต้องสอนให้รู้ถึงขนบที่ดี การเคารพสิทธิของผู้อื่น

 :91: :91: :91: :91:

รู้เท่าทันคลิปตบล่าแต้ม

นพ.สุริยเดว บอกอีกว่าผู้ใหญ่เองก็ต้องรู้ ต้องตามให้ทันคลิปประเภทตบ-ต่อย-ตีฟีเวอร์ งดดู งดไลค์งดแชร์โดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการถ่ายคลิปรุนแรงโดยไม่รู้ตัว

"สังคมไทยเป็นสังคมบริโภคนิยม เราเพลิดเพลินกับการบริโภคไปหมด เราสนุกสนานจนลืมหน้าที่การเฝ้าระวังสังคมของตนเอง จิตสาธารณะก็น้อยลง เพราะมองว่าธุระไม่ใช่ เข้าไปดู ไปชมเผลอๆ ก็กดไลค์โดยไม่ได้ดูกันว่าเหมาะสมหรือไม่ ควรให้การสนับสนุนหรือเปล่า ใครจะไปรู้คลิปตบตี อาจมีการประกวดกันก็ได้ ของใครจะกดไลค์ได้มากกว่ากัน ถ้ายิ่งคนให้ความสำคัญก็ยิ่งสร้างการยอมรับให้อีกฝ่ายเป็นฮีโร่ขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ใหญ่เองต้องรู้ให้เท่าทันคลิปประเภทนี้ ถ้าเป็นเรื่องไม่ดี ไม่ควรให้ความสนใจ พฤติกรรมไหนที่ไม่เหมาะสม เราต้องไม่ตกเป็นเครื่องมือ เมื่อไม่มีการโพสต์ แชร์ต่อ ก็เป็นการแสดงออกถึงไม่ให้เกิดการยอมรับ พฤติกรรมการตบล่าแต้มก็จะถูกเบี่ยงเบนไปในทางที่ดีขึ้น ผมขอเรียกร้องในจิตสำนึกความเป็นผู้ใหญ่ ให้ผู้ใหญ่ รู้บริบทของหน้าที่ตัวเองดีกว่า อย่าหวังแต่พึ่งกฎหมาย ให้รัฐยื่นมือเข้าช่วยหรือมัวแต่ไปกล่าวโทษเด็ก ๆ ทั้งที่ผู้ใหญ่เองก็ไม่ได้เป็นเบ้าหลอมที่ดีให้เด็กดูเลย"

 :96: :96: :96: :96:

เพราะจับมือใครดมไม่ได้จึงโพสต์กันสนุก

ไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ อาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสื่อออนไลน์ ยอมรับว่ายังไม่มีกฎหมายในการจัดการคลิปตบ-ต่อย-ตีของวัยรุ่น

"เรื่องนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วสำหรับนักแชร์ทั้งหลาย จึงเอาคลิปมาโพสต์เรียกไลค์กัน โดยไม่ได้คำนึงหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตามมา หากจะเอาผิดทางก็ต้องเป็นกรณีตบตีที่เกิดจากการสร้างเรื่องราวขึ้นมาบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพื่อประโยชน์ในทางการค้า หรือเพื่อใส่ความบุคคล จึงจะมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หลายส่วน แต่สำหรับผู้เสียหายที่จะเอาผิดกับผู้นำคลิปมาลงแล้ว มีเพียงลหุโทษในกฎหมายอาญากรณีวิวาทเท่านั้น คลิปตบตีที่เกิดขึ้นจริงจึงไม่มีกฏหมายปัจจุบันที่สามารถเข้าไปเยียวยา

กรณีที่เอามาโพสต์ประจาน ถ้าเขาตบตีเอง เอามาประจานอย่างเดียวเราทำอะไรใครไม่ได้ แต่หากมีถ้อยคำที่มีลักษณะเหยียดหยาม ใส่ความ บิดเบือนก็เป็นเรื่องของการหมิ่นประมาท ตามพ.ร.บ.การกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่ไม่ผิดเลยคือตบตีแล้วเอาไปใส่ยูทูบไว้เฉยๆ ไม่มีคอมเมนต์ วิจารณ์ก็ไม่มีความผิด"

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นน่าสนใจจากแอดมินเพจดังรายหนึ่งที่เล่าว่า การหาคลิปมาลงเพจเพื่อเรียกไลค์นั้นทำได้ง่ายๆ เพราะมีคลิปใหม่ๆมาลงเว็บยูทูบมาให้เลือกทุกวัน คลิปเหล่านี้จึงเห็นได้จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาบนหน้าเฟชบุ๊ก  เมื่อลองเข้าสอดส่องพฤติกรรมผู้เสพคลิป ตบ-ตี ส่วนใหญ่ในคอมเมนท์จะเป็นการด่า ติติง เหน็บแนม ระบายอารมณ์ ท้าทาย เช่น "ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้ผสมพันธุ์" "อย่าเรียนเรยนะพวกหนูอ่ะ ไปกินหญ่ากลางทุ่งกินอิ่มแร้วก็ขวิดกันเลยนะ ควายทั้งหลาย""อยากเจอจังเรยยย..เก่งๆแบบนี้" ฯลฯ

คลิปตบ-ต่อย-ตีที่ได้รับความสนใจจากชาวเน็ต ก่อให้เกิดคำถามตามมาว่าสิ่งเหล่านี้ให้อะไรแก่สังคมและเราได้อะไรจากการเสพคลิปประเภทนี้ จึงเป็นคำถามที่ต้องค้นหากันต่อไป


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/วิเคราะห์/รายงานพิเศษ/312372/เรียกไลค์-ล่าแชร์คลิปตบตีสนั่นออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ