ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไหลเรือไฟ-ปราสาทผึ้ง สืบสานบุญออกพรรษา  (อ่าน 1042 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29391
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ไหลเรือไฟ-ปราสาทผึ้ง สืบสานบุญออกพรรษา

ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีชีวิตของผู้คน จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อถึงประเพณีสำคัญทางศาสนา

ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีชีวิตของผู้คน จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อถึงประเพณีสำคัญทางศาสนาโดยเฉพาะงานบุญใหญ่ คนอีสานไม่ว่าจะไปทำงานอยู่ ณ ที่ใด จะพากันกลับมายังบ้านเกิดเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีสำคัญ


 st12 st12 st12 st12

ลานกว้างด้านหน้าองค์พระธาตุพนม สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสาวงาม 7 ชนเผ่าพื้นเมือง ได้แก่ ชนเผ่าผู้ไทย ไทยข่า ไทยญ้อ ไทยโส้ ไทยแสก ไทยกะเลิง และไทยกุลา จะแต่งชุดชนเผ่าพื้นเมืองแบบเต็มยศแห่เข้ามายัง บริเวณลานหน้าพระธาตุ ก่อนจะตามมาด้วยพิธีรำบูชาพระธาตุพนมในเช้าวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11

ดวงไฟที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นทีละดวงบนเรือไม้ไผ่ขนาดยักษ์รวมกันแล้วมากกว่าหมื่นดวง ไม่ได้เป็นเพียงความงดงามที่เกิดขึ้นบนลำน้ำโขงในคืนวันเพ็ญออกพรรษาของจังหวัดนครพนมเท่านั้น หากแต่ยังเป็นสิ่งที่บ่งบอก ถึงศรัทธาของผู้คนที่ยังคงสืบทอดประเพณีและวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ  เม็ดเงินเรือนแสนที่ถูกใช้ไปในการก่อร่างสร้าง “เรือไฟ” หรือ “เฮือไฟ” ตามภาษาถิ่น อาจเทียบไม่ได้กับเงินรางวัลที่จะได้รับหากว่าเกิดชนะใจกรรมการ เพราะเรือลำใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างมากกว่าหนึ่งเดือนนั้นหมายถึงศักดิ์ศรีของแต่ละชุมชน


 :25: :25: :25: :25:

“เราเคยได้รางวัลที่ 2 มาก่อน แต่ปีที่แล้วอำเภอเป็นเจ้าภาพ ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ปีนี้ทางองค์การบริหารส่วนตำบลนาคู่จึงเป็นเจ้าภาพหลัก และขอให้กลับมาช่วยงาน โดยแนวคิดของเรือไฟที่นำเสนอในปีนี้เป็นการนำเอาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาถ่ายทอด และมีความพิเศษตรงที่นางรำที่อยู่ด้านล่างสามารถขยับได้ เช่นเดียวกับนักดนตรีที่เป่าแคนอยู่” สมเกียรติ เกตุบุญ ช่างทำ     เรือไฟชั้นครูแห่งตำบลนาคู่ บอกเล่า

จากเรือไฟโบราณที่ทำด้วยไม้ไผ่ยาวแค่ 1-2 เมตร มีตะเกียงขี้ไต้จุดเพื่อให้ความสว่างไสว โดยมีการใส่ข้าวต้มมัด ขนม สิ่งของที่ต้องการบริจาคทาน พร้อมดอกไม้ธูปเทียน แล้วตัดเล็บหรือผมตามความเชื่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์ใส่ไปในเรือไฟ ผ่านการพัฒนาและต่อยอดจนกลายมาเป็นเรือไฟที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีความยาวเกือบร้อยเมตร หากแต่ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพระรัตนตรัยและรอยพระพุทธบาทที่ประทับไว้ ณ หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทามหานที ไปจนถึงการบูชาพระแม่คงคาและการบูชาพญานาคยังคงสืบทอดผ่านช่างทำเรือไฟชั้นครู ที่มีลูกศิษย์เป็นอาสาสมัคร รุ่นใหม่จากวิทยาลัยอาชีวศึกษานาแก ซึ่งมาช่วยงานแบบไม่คิดค่าตัว หวังเพียงร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสืบต่อภูมิปัญญาบรรพบุรุษ

 :96: :96: :96: :96:

ตะเกียงนับหมื่นดวงที่เคยเป็นกระป๋อง นม หรือขวดเครื่อง ดื่มชูกำลัง วันนี้ถูกเปลี่ยนมาเป็นกระป๋อง กาแฟอะลูมิเนียมอย่างดี หุ้มด้านบนด้วยกระดาษฟอยล์โดยมีไส้โผล่ออกมาด้านบน ช่างทำเรือไฟชั้นครูบอกว่า แสงที่ส่องสว่างนั้นหากมองให้ดีจะมีสีสันที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของเชื้อเพลิงในกระป๋องที่ใส่ไว้แล้วแต่สูตรของใคร แต่สิ่งที่ชิงไหวชิงพริบเอาชนะกันแบบฉิวเฉียดนั้นก็คือ ดวงไฟที่จะหยุดนิ่งหลังจากผ่านการจุดไปแล้วราวครึ่งชั่วโมง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้รูปร่างที่สร้างไว้ตามแนวคิดสมบูรณ์แบบ โดยจะขึ้นอยู่กับไส้ตะเกียงที่นำมาใช้ว่ามีคุณภาพดีและอยู่ได้นานเพียงใด



การบูชาด้วยประทีปโคมไฟนั้นเชื่อกันว่าจะนำพาความรุ่งโรจน์สว่างไสวมาสู่ชีวิต แต่นอกจากเรือไฟลำใหญ่ที่ปล่อยให้ไหลไปตามกระแส    น้ำโขงแล้ว กระทงสายขนาดเล็กที่ทำจากกะลามะพร้าวจะถูกปล่อยให้ไหล   มาก่อนล่วงหน้า นอกจากจะเป็นการบูชาพระแม่คงคาแล้ว กระทงสายเหล่านั้นยังทำหน้าที่นำทางให้กับเรือไฟลำใหญ่ไปพร้อมกันด้วย

ห่างจากจังหวัดนครพนมไปเกือบ 100 กิโลเมตร ช่วงเย็นก่อนหน้าที่จะถึงวันออกพรรษาหนึ่งวัน ชาวสกลนครตั้งแต่รุ่นคุณยาย คุณป้า ไล่ลงมาจนถึงรุ่นเด็กเล็ก ต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นมาแต่งกายด้วยผ้าย้อมครามลายพื้นเมืองและเข้าร่วมในขบวนแห่ปราสาทผึ้ง งานใหญ่ในช่วงออกพรรษาของทุกปีของคนสกลนคร

 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ด้วยคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาในครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในวันปวารณาออกพรรษา พระพุทธเจ้าตรัสอำลาพระอินทร์เพื่อเสด็จลงสู่เมืองมนุษย์ พระอินทร์จึงเนรมิตบันไดเงิน บันไดทอง และ บันไดแก้วให้พระองค์ได้เสด็จลงมา เทวดา มนุษย์ ครุฑ นาค สัตว์นรก ต่างชื่นชมในพระบารมีของพระพุทธองค์เกิดความเลื่อมใสในบุญกุศลนั้น  และเกิดจินตนาการมองเห็นปราสาทวิมานสวยงามบนสรวงสวรรค์ จึงรู้ชัดว่าการที่จะได้ไปอยู่ในปราสาทสวยงามได้นั้นจะต้องสร้างบุญสร้างกุศล ประพฤติปฏิบัติอยู่ใน    หลักธรรม

จากปราสาทผึ้งแบบโบราณที่เรียกกันว่า “ต้นผึ้ง” เพราะลักษณะ    การเอากาบของต้นกล้วยมาทำเป็นโครงแกะสลักเป็นลวดลายต่าง ๆ แล้วตกแต่งด้วยดอกผึ้งอย่างงดงาม ก่อนจะมาเป็นปราสาทผึ้งทรงหอ-ทรงสิมหรือศาลพระภูมิมีเสา 4 เสา มีหน้าจั่ว 4 ด้าน แล้วใช้ก้านกล้วยติดรอบ ๆ ก่อนจะนำดอกผึ้งมาเสียบ ผ่านการพัฒนาผสมผสานการแกะสลักดอกผึ้ง   กับประติมากรรมบนแผ่นเทียนจนมาเป็นปราสาทผึ้งเรือนยอดที่เรียกว่า  “กฎาคาร” ที่เลียนแบบปราสาทราชวัง ทำด้วยไม้เป็นโครงปราสาทแล้วหล่อเทียนรูปลายไทยติดรอบ ๆ เน้นความประณีตในการตกแต่งปราสาทผึ้งให้งดงามโดยใช้ศิลปกรรมไทยภาคกลางกับอีสานผสมผสานกัน

 :49: :49: :49: :49:

แม้ดูเผิน ๆ ปราสาทผึ้งจากวัดต่าง ๆ ที่ร่วมขบวนแห่จะเป็นการสร้างขึ้นเพื่อถวายแก่องค์พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อองค์แสน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวสกลนคร หากแต่รายละเอียดบนปราสาทผึ้งแต่ละองค์กลับเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาด้วยลวดลายที่แตกต่าง บ้างเป็นรูปเหมือนของเกจิอาจารย์ชื่อดังในถิ่นอีสาน บ้างเป็นพุทธชาดก ว่ากันว่าการร่วมแรงร่วมใจสร้าง สรรค์ปราสาทผึ้งขึ้นนั้น นอกจากจะเป็นการร่วมทำบุญทำกุศลในช่วงเทศกาลออกพรรษาแล้ว ยังเป็นการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย

เมื่อขบวนแห่จากแต่ละคุ้มวัดเดินทางมาถึงบริเวณวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร ทั้งต้นผึ้ง ปราสาทผึ้งโบราณและแบบประยุกต์จะจอดเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่นางรำและผู้เข้าร่วมขบวนแห่ทั้งเด็กสาวและผู้ใหญ่จะพร้อมใจกันเข้าไปรำถวายองค์พระธาตุและนำเครื่องบูชาสักการะองค์พระธาตุ


 ans1 ans1 ans1 ans1

ไม่ว่าจะเป็นปราสาทผึ้งอันวิจิตรบรรจง หรือเรือไฟที่ยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งสองประเพณีคือเทศกาลสำคัญในฮีตเดือนสิบเอ็ด ตามหลักฮีตสิบสองคองสิบสี่ของชาวอีสาน ที่ยังคงได้รับการสืบสานและสืบต่อภูมิปัญญาที่ส่งผ่านมาถึงคนรุ่นหลังได้อย่างมั่นคง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเส้นทางท่องเที่ยวในเขตจังหวัดนครพนม สกลนคร และมุกดาหาร ได้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย     (ททท.) สำนักงานนครพนม โทร. 0-4251-3490-1 หรือ เฟซบุ๊ก : tatnakhonphanom และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ : ททท.สำนักงานนครพนม.



เยือนบ้าน ‘ลุงโฮ’

ในช่วงเทศกาลออกพรรษานอกจากนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาร่วมชมประเพณีอันยิ่งใหญ่แล้ว แหล่งท่องเที่ยวอย่าง “พิพิธภัณฑ์หมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนาม” ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “บ้านประธานาธิบดีโฮจิมินห์” หมู่บ้านเก่าแก่ที่อดีตประธานาธิบดีสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเคยเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างกอบกู้เอกราชของประเทศเวียดนาม

บ้านชั้นเดียวที่สร้างขึ้นใหม่โดยจำลองวิถีชีวิตเหมือนเมื่อครั้งที่ลุงโฮพักอาศัย มีห้อง 2 ห้อง มีเพียงเตียงไม้ ชั้นวางของ โต๊ะ เก้าอี้ยาว มีเสื้อผ้าวางบนชั้น ห้องกลางมีโต๊ะ เก้าอี้ยาว มีประวัติท่านโฮจิมินห์ติดไว้รอบห้อง ส่วนหลังบ้านมียุ้งข้าว สิ่งที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้คือ ต้นมะพร้าวและมะเฟือง ซึ่งท่านโฮจิมินห์เป็นคนปลูก


ขอบคุณบทความและภาพจาก
www.dailynews.co.th/Content/Article/274769/ไหลเรือไฟ-ปราสาทผึ้ง+สืบสานบุญออกพรรษา
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ