ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อย่าสอนธรรมแก่ คนใคร่ประมาท : วิปัสสนาบนหน้าข่าว  (อ่าน 2199 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อย่าสอนธรรมแก่ คนใคร่ประมาท : วิปัสสนาบนหน้าข่าว
โดย พิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ประสบการณ์ตรงเกิดขึ้นกับตัวผมเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ... อย่าริอาจสอนธรรมแก่คนใคร่ประมาท, อย่ายัดเยียดคำสอนของพระพุทธเจ้าให้กับคนที่ยังไม่ศรัทธา ... เพราะสิ่งที่สะท้อนกลับมา จะมีแต่เจ๊ากับเจ๊งครับ
      ขนาดครูบาอาจารย์ หลวงพ่ออนันต์ อกิญฺจโน ก็ยังเคยปรามเรื่องทำนองนี้แก่ผมมาแล้ว
      “พิสุทธิ์ ... หากพูดแล้วเขาไม่เชื่อ ก็ต้องปล่อยไป รอจนกว่าเขาศรัทธา จะกลับมาเอง”
      ก็ยังอุตส่าห์เผลอไผลอยู่เป็นครั้งคราว และผลสะท้อนจากการสนทนาธรรมกับผู้ที่ปราศจากศรัทธา (หรือมีมิจฉาทิฏฐิแรงกล้า) นั้น มักจะออกมาเป็นเชิงลบเสมอ

หากคุณหมอท่านหนึ่งในโรงพยาบาล จะเชิญญาติโยม คนปกติสุขทั่วไป มานั่งฟังการบรรยายเรื่อง อันตรายของโรคภัยไข้เจ็บ - อาการ - หนทางการป้องกันโรคร้ายต่างๆเหล่านั้น จากชีวิตของคุณ ... จะมีคนร่างกายปกติที่ยังประมาทในชีวิตสักกี่คน จะขวนขวายเข้ามาฟังการบรรยายครั้งนี้ ในขณะที่ผู้ที่กำลังเจ็บป่วย กำลังจมกองทุกข์ทรมานจากอาการของโรคเหล่านั้น ขี้คร้านจะแห่กันมา จองที่นั่งแถวหน้า กันแต่ไก่โห่! ฉันใดก็ฉันนั้น


 :25: :25: :25: :25: :25: :25:

ครั้งหนึ่งขณะที่ ท่านอาจารย์พุทธทาส กำลังขะมักเขม้น เข็นหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ออกมาทีละเล่ม ทีละเล่ม ด้วยความประณีต ยากลำบาก ใช้เวลามากมาย กว่าจะทำให้สมบูรณ์ได้ในแต่ละวรรคตอน พระลูกศิษย์ท่านหนึ่งทักท่านอาจารย์ว่า ...
      “เกล้ากระผม ไม่เห็นว่าผู้คนในสังคมจะมีใครสนใจงานชุดธรรมโฆษณ์กันเลย บ้างก็ว่าเป็นธรรมะเล่มโตประหนึ่งยาขม ท่านอาจารย์จะทนทำมันไปทำไมครับ?”
      “เราทำหน้าที่เหมือนเป็นพ่อครัว ตระเตรียมเสบียงอาหารทางปัญญาให้พร้อมสรรพ ตอนนี้เขายังไม่หิว ก็ไม่สนใจ ต่อเมื่อพวกเขาหิวแล้ว ก็จะเข้ามาหากินกันเอง !”

หลังจากวันนั้นถึงวันนี้กว่า ๕๐ ปี เข้าสู่สมัยที่โลกร้อนด้วยกิเลสเผาลนมากขึ้น แม้คนจะมีของกินให้เลือกสรรมากมาย เสวยสุขกันจนพุงกาง แต่ความหิวกระหายในธรรมะ ความสงบเย็น สันติภาพน้อยๆ ในจิตใจ กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อาหารชุดใหญ่ที่พ่อครัวหัวป่าด้านธรรมถึกได้ตระเตรียมไว้ เกิดเป็นผลก็ตอนนี้ล่ะครับ ผมเห็นกับตาตัวเองเลย เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง วัยราว ๑๗-๑๘ เดินหาซื้อธรรมโฆษณ์ของท่านพุทธทาส มาอ่านด้วยตัวเอง ในงานมหกรรมหนังสือ (Book Fair) ที่ศูนย์การประชุมสิริกิติ์ ผมเองอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปถาม (เพื่อยืนยันว่า ไม่ใช่พ่อฝากมาซื้อ) เด็กก็ตอบด้วยความมาดมั่นว่า .. ต้องธรรมโฆษณ์เท่านั้น ถึงจะตอบโจทย์ชีวิตผมได้!

 st12 st12 st12 st12 st12 st12

นับเป็นนโยบายที่ดีของท่านพุทธทาส ไม่ต้องมานั่งไล่สอนธรรมมหาชนคนในสังคม ที่ยังประมาทอยู่ แต่ท่านกลับใช้วิธีระดม เรียบเรียงคำสั่งสอนธรรมไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นชุดๆ เพื่อให้คนที่ไม่ประมาท (คนที่สนใจ ขวนขวายหนังสือธรรมะมาอ่าน ก็แสดงว่าไม่ประมาทในชีวิตแล้วล่ะครับ) หยิบเอามาพิจารณาเป็นธัมมวิจัย ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัยได้อย่างงดงาม สำหรับคนที่ไม่ประมาทแล้ว

     เพราะคนที่ยังประมาทอยู่ หลายคนจะมีข้ออ้าง บทโต้แย้งต่างๆนานา อาทิเช่น ...
     ไม่เห็นพระจะทำตัวให้มันดีๆ เลย ฉันเลยไม่รู้จะไปปฏิบัติธรรมทำไม?
     เรื่องนิพพาน เรื่องสุญญตา เรื่องการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของพระสงฆ์ท่าน คนอย่างเรา ทำตัวดีๆ ไม่เบียดเบียนใครก็พอ
     คุณพิสูจน์ให้ฉันเห็นให้ได้ก่อนสิว่าชาติหน้ามีจริง แล้วฉันจะเปิดใจรับฟังธรรม
     ผมเชื่อนะว่าชาติที่แล้วมี แต่ชาติหน้าไม่มีจริงหรอก?
     พระไทยยังกินเนื้อสัตว์อยู่เลย จะบรรลุธรรมได้อย่างไรกัน???
     สรุปแล้ว เธอน่าจะไปบวชเป็นพระซะให้รู้แล้วรู้รอดเลยนะ ทำเป็นครึ่งบกครึ่งน้ำอยู่ได้ !!!
     ฯลฯ



คนฉลาด (แต่ไม่เฉลียวธรรม) และอัตตาสูง ช่างมีมากมายเหลือเกินในสังคมไทย ผสมโรงไปกับ พระจอมปลอม หรือพระเลวที่ขยันทำเรื่องเสียหายให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธาไม่เว้นวัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้นี่เอง ล้วนเป็นเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้ “ศรัทธา” คนชาวพุทธถอยหลังลงคลอง ตกต่ำแทบติดดิน และ เพราะศรัทธาต่ำ จึงเลือกที่จะยินดีในการดำเนินชีวิตอยู่แบบคนไร้ศาสนา ประกาศตนด้วยภาคภูมิเต็มอัตตาอย่างบ้าคลั่งว่า “กูนี่แหละ เป็นคนไร้ศาสนา” ... ชาติหน้าไม่มีจริงหรอก, ใครเล่าจะต้องกลับมาเกิดใหม่ เรื่อง Re-birth หาได้มีจริงไม่ .... ฯลฯ คนเช่นนี้แหละ รวมหมู่ลงเป็นพวกคนใคร่ประมาท ... อย่าได้เสี่ยงไปสอนธรรมเขาเลย

รวมรวมพลังงานชีวิตอันมีชีดจำกัดของเรา ทุ่มเทลงไปกับคนที่ไม่ประมาท ปรารถนาจะฟังธรรม สนทนาธรรม จะได้ประโยชน์กว่า ... ผู้เขียนเพิ่งเดินทางกลับจากการพูดธรรม-ฮัมเพลง (Single guitar & Dharma talk show) ในงานมหกรรมหนังสือครั้งแรก ที่ จ.อุดรธานี แม้จะมีคนนั่งฟังอยู่ไม่ถึง ๓๐ คน แต่ก็ยังมีหลายคนในจำนวนนั้น ตั้งใจฟัง และจดบันทึกสิ่งที่ผู้เขียนได้บรรยายสลับร้องเพลงธรรมะไปตลอดเวลากว่า ๒ ชม. โดยไม่กระดิกตัวไปไหนเลย ช่างเป็นวงสนทนาธรรมที่มีพลังในชั่วขณะนั้นจริงๆ


     ans1 ans1 ans1 ans1 ans1 ans1

    นึกถึงคำครูบาอาจารย์ ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า ...
    “เราไม่สามารถถึงกับพลิกแผ่นดิน เราสามารถเพียงทำไปเรื่อยๆ ตามสติกำลัง มีผลเท่าไหร่ ก็เอาเท่านั้น แต่เราหวังอยู่ว่า การกระทำด้วยความจงรักต่อพระศาสนาของเรานี้ อาจมีคนเอาไปคิดไปนึก แล้วอาจมีคนทำตามขึ้นมา จนกระทั่งผู้มีอำนาจ หรือประชาชนทั้งโลกพากันทำ มันก็อาจมีการพลิกแผ่นดินได้เหมือนกัน แม้เราจะไม่ได้พลิกเอง ผลก็เท่ากัน เรายังคงเจียมตัว ไม่ต้องอกแตกตายเพราะข้อนั้น”

    เฮ้อ ... ฟังท่านพูดแล้วหัวใจโล่งจริงเชียว, ตอนนี้ ถึงผู้เขียนจะไม่อกแตกตายแล้วก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องสงวนพลังไว้ จะไม่พูดธรรมกับคนใคร่ประมาทไว้ก่อน เป็นดี เหตุผลก็ด้วยประการทั้งปวงที่กล่าวมาแล้ว ครับ

                ใครกันเล่า ยังประมาท ?
                คิดว่าตน ฉลาด ปราดเปรื่องนัก
                เรื่องธรรมะ อยู่ไกล ไม่อยากรู้จัก
                อย่ามาทัก ฉันยังสุข สบายใจ (No pain - no gain)
                พระก็เสื่อม ศาสนาแย่ มักแปรผัน
                ใครจะมา สอนฉัน ฤาไฉน
                ทุกวันนี้ ฉันแสน ภาคภูมิใจ
                อยู่อย่างไร้ ศาสนา สถาพร ?!!
                ไม่พบทุกข์ ไม่เห็นโลง ไม่หลั่งน้ำตา
                โบราณว่า ถ้าจะจริง เห็นอยู่สลอน
                ศรัทธาสิ้น เสื่อมถอย และแคลนคลอน
                โธ่ ...คนสอน ธรรมะสิ้น กำลังใจฯ


ขอบคุณบททวามจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20141121/196358.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ