ปราสาทที่สร้างด้วยรวงข้าว
“บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน”...ตระการตาปราสาทรวงข้าว สัมผัสวิถีแห่งศรัทธา ที่ "กาฬสินธุ์"
“ข้าว” ถือว่าเป็นผลผลิตที่สำคัญของประเทศไทย เป็นสิ่งสำคัญที่ชาวนาในประเทศนั้นมีความเชื่อถือเกี่ยวกับพระแม่โพสพ ข้าวจึงถือว่าเป็นสิ่งวิเศษของชาวนาโดยเฉพาะชาวอีสาน ที่นอกจากมีอาชีพปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่แล้วยังมีประเพณีที่เกี่ยวกับข้าวอันหลากหลาย จึงมีพิธีกรรมสืบสานมรดกประเพณีในแต่ละท้องถิ่นต่อๆ กันมา ที่กาฬสินธุ์ก็เช่นกัน มีพีธีที่เรียกว่า “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน” ถือว่าเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของชาวกาฬสินธุ์ข้าวเปลือกที่เทกองรวมกันในลาน
คำว่า “คูณลาน” หมายถึง เพิ่ม หรือทำให้มากขึ้น ส่วนคำว่า “ลาน” คือ สถานที่สำหรับนวดข้าว ซึ่งการนำข้าว ที่นวดแล้วกองขึ้นให้สูง เรียกว่า “คูณลาน” ข้าวกับการทำบุญในศาสนานั้นอยู่คู่กันไม่มีวันแยกจากกันได้ ดังนั้นการทำบุญคูนลานจึงเป็นสิ่งที่ชาวนาต้องทำทุกปีหลังเก็บเกี่ยวกำแพงปราสาทรวงข้าวที่สร้างจากรวงข้าวเป็นมัดๆ
สำหรับบุญคูนลานของชาวตำบลเหนือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์นั้น ได้มีการดัดแปลงบางส่วนคือการทำบุญคูนลานสมัยก่อนนี้ จะมีบางครอบครัวนวดข้าวยังไม่เสร็จ เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ทำบุญคูนลานของตนเองยังไม่นวด จึงนำมัดข้าวที่ยังไม่แยกเมล็ดข้าวออกมาถวายวัด ทำให้เกิดความคิดว่าควรจะนำมัดข้าวมาทำเป็นศิลปะสักอย่างให้ดูสวยงาม ประมาณ พ.ศ. 2537 นายสมนึก บัวแพ จึงได้นำต้นแบบและแนวคิดในการทำปราสาทด้วยรวงข้าว ชาวบ้านจึงได้ลองทำดูปรากฏว่าเป็นที่ประทับใจ จึงได้ดำเนินการเป็นบุญคูนลานที่มีปราสาทสร้างด้วยรวงข้าวตั้งแต่นั้นมาและมีพัฒนาการเรื่อยๆจนกระทั่งมีรูปแบบและขนาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันชาวบ้านนำข้าวมาเทรวมกันเพื่อสร้างคูนลาน
หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วชาวบ้านจะนำมัดข้าวมารวมกันที่วัด หรือถ้าใครมีปัญหาไม่สามารถนำข้าวมาได้ก็จะแจ้งมาทางวัดก็จะให้ความสะดวก โดยการนำรถไปรับถึงทุ่งนาก็มี หลักจากนั้นชาวบ้านก็จะประชุมกำหนดวันงาน ซึ่งจะจัดในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เพราะโบราณอีสานถือว่าฟ้าเปิดประตูฝน คนโบราณจะสังเกตอากาศในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เป็นวันทำนายฝนตกประจำปี แต่การกำหนดวันก็จะไม่ตรงเสียทีเดียวเพราะมีเหตุผลหลายอย่างประกอบชาวบ้านนำข้าวมามัดรวมกันเพื่อไว้สร้างปราสาทรวงข้าว
การสร้างปราสาทรวงข้าวของชาวบ้านในตำบลเหนือ นั้น จะมีหมู่บ้าน 12 หมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้านจะหมุนเวียนกันมาร่วมสร้างโครงสร้างและเลือกรวงข้าวที่สวยงามจากนั้นนำรวงข้าวมามัดเป็นกำแล้วนำขึ้นประดับตกแต่งเป็นปราสาทรวงข้าวก่อนที่จะถึงวันงานก็จะทำการประดับตกแต่งให้ดูสวยงามอีกครั้ง โดยใช้เวลาประมาณในการสร้าง 1 เดือนครึ่ง แรงงานทั้งหมดนั้นเกิดจากชาวบ้านไม่มีการคิดค่าแรง ทุกคนทำด้วยความเต็มใจ เกิดจากความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ ถือว่าเป็นความภูมิใจของชาวบ้านนั้นเองทำบุญตักบาตรในตอนเช้า
ในวันงานตอนเช้านั้น ชาวบ้านก็จะมาร่วมกันทำบุญตักบาตรกันที่หน้าลานปราสาทรวงข้าวในตอนเช้าซึ่งจะมีพระสงฆ์นั้นออกมาบิณฑบาต จากนั้นก็จะร่วมกันสวดมนต์รับพร และร่วมรับประทานอาหารภายในวัดมีบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองของชาวบ้านบวงสรวงพระแม่โพสพ
ร่วมกันทำพิธีบายศรีสู่ขวัญข้าว
จากนั้นก็จะเป็นพิธีบวงสรวงบูชาพระแม่โพสพ เพื่อที่จะได้ระลึกถึงผู้มีพระคุณพระแม่โพสพ ที่ทำให้ข้าวกล้าในนาเจริญงอกงามได้ผลตามที่ต้องการ รวมทั้งยังต้องฝากข้าวกล้าในนาไว้กับพระแม่โพสพให้ท่านดูแล ให้ข้าวในนาเจริญงอกงามปราศจากภัยทั้งปวง เมื่อบวงสรวงเสร็จแล้วจึงทำพีธีบายศรีสู่ขวัญข้าว โดยมีเครื่องเชิญขวัญที่เรียกว่า “บายศรี” และผู้นำทำพิธีเรียกว่า “หมอขวัญ” ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการเรียกขวัญข้าว เรียกขวัญพระแม่โพสพที่ตกหล่นตามท้องนาขึ้นสู่ยุ้งฉาง เมื่อบายศรีเสร็จแล้วชาวบ้านนำสายสิญจน์มาพันมัดข้าวรอบปราสาทรวงข้าวชาวบ้านนำสายสิญจน์ผูกมัดรวงข้าวเพื่อเรียกขวัญ
จากนั้นช่วงบ่ายชาวบ้านก็จะทำขบวนแห่อันเชิญภาพพระแม่โพสพ,แห่ปราสาทรวงข้าวจำลอง และขบวนฟ้อนรำของชาวบ้านและนักเรียนจากสถานศึกษาในเขตตำบลเหนือ ตามแต่จะสามารถจัดได้ผ่านชุมชนต่างๆ มาที่บริเวนจัดงานที่ วัดเศวตวันวนาราม ซึ่งเป็นศูนย์รวมกิจกรรมของตำบลเหนือและเป็นที่ตั้งของปราสาทรวงข้าวกลองยาวนำขบวนแห่ปราสาทรวงข้าวจำลอง
ขบวนฟ้อนรำหน้าลานปราสาทรวงข้าว
นับว่าประเพณี “บุญบายศรีสู่ขวัญข้าวคูนลาน” ถือว่าเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น และมีความโดดเด่นแตกต่างจากประเพณีบุญคูนลานทั่วไป โดยเฉพาะปราสาทรวงข้าวที่เกิดจากแรงงานศรัทธา ถือว่าเป็นศิลปะแห่งศรัทธาในพระแม่โพสพที่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่า และยังเป็นสื่อสะท้อนอันชัดเจนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ทางวิถีวัฒนธรรมไทยของชาวบ้านในเทศบาลตำบลเหนือ จ.กาฬสินธุ์ อย่างแท้จริง ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000018606