ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เปิดตัว 12 มหันตวินาศภัย..ทำลายโลก  (อ่าน 1059 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29347
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
เปิดตัว 12 มหันตวินาศภัย..ทำลายโลก
« เมื่อ: มีนาคม 10, 2015, 10:18:07 am »
0


เปิดตัว 12 มหันตวินาศภัย..ทำลายโลก

ภัยใดๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่เคยส่งผลดีต่อผู้ร่วมเหตุการณ์และได้รับผลกระทบเลยสักครั้งเดียว ไม่ว่าจะเติมคำนำหน้าเข้าไปเช่นใด ก็เป็นการขยายความหมายของคำว่า ภัย นั้นเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง เช่น วาตภัย ก็คือภัยที่เกิดจากลมไม่ว่าจะเป็นพายุ หรืออื่นใด แต่ถ้า โอษฐภัย ก็แปลได้ว่าภัยที่เกิดจากปาก เช่นว่าปากพูดว่าร้ายคนอื่น ก็ทำให้เกิดภัยที่ปากหรือร่างกาย เจ้าของปากได้นั่นเอง
 
แต่ภัยที่กำลังจะพูดถึงนี้คือมหันตวินาศภัย ที่มาจากการรวมเอาคำว่า มหันต์ (ใหญ่มาก) กับ คำว่า วินาศ (ความเสียหาย ความสูญสิ้น) เข้าด้วยกัน เพื่ออธิบายถึงภัยร้ายแรงที่อาจทำให้มนุษยชาติถูกทำลายจนหมดไปจากโลก หรือนำไปสู่เหตุการณ์เช่นนั้น ที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งประเมินไว้ล่วงหน้า ถึงมหันตวิบัติภัยที่กำลังจะมาถึง ทั้งที่เป็นภัยธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเอง โดยรวบรวมได้ 12 ประการ ที่เราน่าจะฟังไว้บ้าง

ในหนังสือ อินฟินิท อิมแพค โดย เดนนิส แพมลิน แห่งมูลนิธิ โกลบอล ชาเลนจ์ และ สจ๊วร์ต อาร์มสตรอง แห่งสถาบันอนาคตแห่งมนุษยชาติ ระบุถึงมหาวินาศภัย เริ่มจากภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรุนแรงและเป็นวงกว้าง ผู้เขียนอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิโลกตั้งแต่ 4 องศาเซลเซียส หรือ 6 องศาเซลเซียส นั้นโลกจะกลายเป็นพื้นที่หายนะสำหรับมนุษยชาติ ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมพื้นที่ชายฝั่ง และระบบการเกษตรของมนุษย์จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และแม้มนุษย์จะรู้จักศาสตร์ที่เรียกว่า "วิศวกรรมภูมิศาสตร์" แต่ความรู้นั้นก็จะกลับกลายทำร้ายมนุษย์เองในที่สุดเมื่อธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างสุดขั้ว เมื่ออุณหภูมิโลกเปลี่ยนแปลงมากขนาดนั้น

 

สงครามนิวเคลียร์ หนึ่งในมหันตหายนะที่จะเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ แต่ข่าวดีคือ หายนะนี้จะจำกัดอยู่ในวงแคบๆ ในขอบเขตของอานุภาพทำลายล้างของหัวรบนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ผู้เขียนทั้งสองก็มองว่า ภัยที่แท้จริงของสงครามนิวเคลียร์คือ ฤดูหนาวนิวเคลียร์ (nuclear winter) ที่เกิดจากการสะสมหมอกและเมฆบนท้องฟ้าที่ถูกพลังระเบิดนิวเคลียร์ดันขึ้นไปลอยบนท้องฟ้า ปกคลุมพื้นผิวโลกในวงกว้าง ก่อให้เกิดสภาพภาวะเรือนกระจกมืดที่พื้นผิวโลกจะไม่ได้รับแสงแดดเป็นเวลานาน ซึ่งนั่นมีความเป็นไปได้มากที่ประชากรมนุษย์ทั่วโลกจะสูญพันธุ์ไป
 
โรคระบาดทั่วโลก คล้ายกับการเกิดสงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดที่ถือว่าเป็นวินาศภัยระดับโลกเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 2461 เมื่อเกิดโรคไข้ดำ หรือ ไข้สเปนระบาดในยุโรปทำให้ประชากรโลกกว่า 10 ล้านคนในสมัยนั้นเสียชีวิต ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบัน การคมนาคมขนส่งจากมุมโลกหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่งของโลกทำได้สะดวก และง่ายดาย ทำให้การระบาดของโรคร้ายแรงเป็นไปได้ง่ายกว่าในโลกยุคที่มีการระบาดของไข้สเปนหลายเท่า แม้จะมีข้อถกเถียงว่าการแพทย์ของเราพัฒนาขึ้นไปมากน่าจะมีการรักษาได้ทันท่วงที แต่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็มองว่าพลังทำลายของโรคระบาดนั้นสามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เป็นเผ่าๆ ไปเลยทีเดียว

 

มหันตวินาศภัยอีกประการหนึ่งคือ ความล้มเหลวของระบบนิเวศ ซึ่งหมายถึงการที่ระบบนิเวศไม่สามารถรักษาความสมดุลไว้ได้ ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในระบบนิเวศนั้นไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และ นั่นจะทำให้เกิดวงจรลูกโซ่แห่งการทำลาย เนื่องจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์หนึ่งจะมีความเกี่ยวพันกับสายพันธุ์ที่เหลืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เปรียบดั่งเสากับคาน ซึ่งถ้าเสาพังลงมา คานก็ต้องหล่นลงมาด้วยนั่นเอง ความล้มเหลวของระบนิเวศนั้นเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายต่อหลายประการ และส่งผลได้หลายต่อหลายแบบ แต่ทุกแบบที่เกิดขึ้นจะมีจุดสิ้นสุดคือ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระบบนิเวศนั้นสูญสลายลงไป
 
โลกก็เป็นหนึ่งในระบบนิเวศที่อยู่ในจักรวาล และสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกพึ่งพากันในทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น หากมีสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไป ก็จะเกิดลูกโซ่แห่งการทำลาย ที่ผลกระทบจะมาถึงมนุษย์นั้นช้า หรือ เร็ว ก็แตกต่างกันออกไป แต่ที่สุดแล้วก็จะมาถึงมนุษยชาติในวงกว้างอยู่ดี

 

เช่นเดียวกับกรณีการเกิดระบบโลกล่มสลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ หรือการเมือง ที่จะส่งผลกระทบ ส่งแรงแห่งภาวะซบเซาในระยะยาวทำให้ระบบธนาคารล่มสลายเป็นจำนวนมาก อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นมหาศาล การค้าล่มสลาย ด้วยเหตุเหล่านี้จะก่อให้เกิดลูกโซแห่งหายนะที่ทำลายมนุษยชาติเป็นจำนวนมหาศาล

 
โลกอาจจะเกิดมหันตวินาศภัย จากสิ่งแวดล้อมและเป็นปัจจัยนอกเหนือการควบคุมได้อีก เช่น อุกกาบาตพุ่งชนโลก ภูเขาไฟยักษ์ปะทุ ที่จะทำให้เกิดสภาพเรือนกระจกที่ทำให้โลกมืด เช่นเดียวกับสงครามนิวเคลียร์ แต่ภัยที่ร้ายแรงและรวดเร็วกว่าคือ การเกิดแรงกระแทก ที่ทำให้เกิดคลื่นช็อกจากอุกกาบาต และ แรงสั่นสะเทือนจากมหาภูเขาไฟที่ทำให้พื้นดินเปลี่ยนแปลง และอาจเกิดแผ่นดินขนาดใหญ่ถล่มลงในแหล่งน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ กวาดต้อนชีวิตมนุษยชาติจำนวนมาก
 
ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือภัยที่เกิดจากความใฝ่รู้ของมนุษยชาติเอง ทั้งการสร้างชีววิทยาสังเคราะห์ ที่เป็นได้ทั้งคุณประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติ และเป็นภัยร้ายหากปรับใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง รวมทั้งนาโนเทคโนโลยี ที่ใช้เป็นเครื่องมือระดับจิ๋ว ที่อาจกลายเป็นดาบสองคมให้แก่มนุษย์เอง

 

แม้กระทั่งปัญญาประดิษฐ์ ที่ถ้าผู้ชื่นชอบการดูภาพยนตร์ก็คงเคยผ่านตากับภาพยนตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาได้ จนมองว่ามนุษย์เป็นภัยของตัวเอง จึงเริ่มกำจัดมนุษย์ออกไปจากสมการสังคมโลก
 
รวมทั้งการขาดธรรมาภิบาลในการบริหาร ในทุกระดับ ซึ่งเป็นชนวนแห่งความวุ่นวายที่ไม่จบสิ้น และจะมีผลนำไปสู่การทำลายล้างระดับโลกในที่สุด
 
สุดท้ายก็คือ ภัยที่มนุษย์ยังไม่รู้จัก ที่อาจเกิดขึ้นได้ในรูปแบบที่ต่างออกไปจาก 11 ปัจจัยมหาวินาศภัยดังที่กล่าวมาทั้งหมด


 
ขอบคุณภาพและบทความ จากคอลัมน์ เวิลด์วาไรตี้
http://www.komchadluek.net/detail/20150228/202074.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ