ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตัวอย่างเรื่อง ของการให้พร และ การสวดพระปริตร ต่ออายุ  (อ่าน 5124 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คนบางท่าน พูดเรื่องการให้พรของพระเป็นเรื่องเหลวไหล การสวดเจริญพระพุทธมนต์ฺ นั้นไม่มีในสมัยของ

พระพุทธเจ้า อันแท้ที่จริง การให้ พร และ การเจิรญพระปริตร ต่อายุมีในครั้งพระศาสดา โปรดอ่านได้จาก

เรื่องนี้ คร้า...


อายุวัฒนกุมาร

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

 

สำหรับบุคคลตัวอย่างในวันนี้  ก็จะนำเอาเรื่อง “อายุวัฒนกุมาร” มาเล่าให้ท่านได้อ่านกันอีก  เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าไม่เข้ากับการเจริญพระกรรมฐานนัก  แต่ทว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทก็จะได้ทราบชัดถึงกฎแห่งปาณาติบาต  หรือว่าการต่ออายุเนื่องในบุคคลที่ถึงอุปฆาตกรรม  ที่เรียกว่าจะตายในระหว่างอายุยังไม่สิ้นอายุขัย  ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกระทำเอง

เรื่องนี้มีอยู่ว่า  เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอาศัย “ฑีฆะลัมพิกะนคร”  และก็ทรงประทับอยู่ในกุฎีในป่า  ทรงปรารภกุมารผู้มีอายุยืนเป็นเหตุ  สมเด็จพระบรมไตรโลกเชษฐ์ได้ตรัสคาถานี้ว่า  “อภิวาทะนะสีลิสสะ”  เป็นต้น  ความมีอยู่ว่า  มีพราหมณ์สองสหายเป็นคนชาวฑีฆะลัมพิกะนคร  บวชในลัทธิภายนอกพระพุทธศาสนา ที่เราเรียกว่า “เดียรถีย์”  บำเพ็ญตบะสิ้นกาลนาน

คำว่า “ตบะ”  แปลว่า อุบายเป็นเครื่องทำลายกิเลส หรือเผาผลาญกิเลส หรือว่าอุบายเป็นเครื่องทำลายกิเลสให้เร่าร้อนทำให้กิเลสสิ้นไป

เฉพาะเวลาที่ปฏิบัติสมณธรรมอยู่นี้  สิ้นเวลาไถึง 48 ปี  (น่าคิด นานมาก)  พราหมณ์สองคนนั้น  คนหนึ่งคิดว่าประเพณีของเราจะเสื่อมเสียแล้ว  นี่หมายความว่าการประพฤติปฏิบัติในสมณธรรมหรือในตบะเป็นไปไม่ได้ดี  ถ้าขืนอยู่ก็จะเสีย  จึงดำริต่อไปว่า  ถ้าเราปฏิบัติเอาดีไม่ได้  จิตใจยังโลภโมโทสัน  มีความกระสันในระหว่างเพศ  มีความอยากรวย  ยังมีความโกรธ  ยังมีความหลงอย่างนี้  เราสึกดีกว่า  เมื่อดำริดังนั้นแล้วจึงได้ขายบริขารคือเครื่องทำตบะไว้ให้แก่คนอื่น  เมื่อสึกออกมาแล้วก็ได้ภรรยา  การได้ภรรยาคนนี้ต้องเสียค่าอะไรกันบ้างล่ะ  สมัยนี้เขาเรียกว่าเสียค่าสินสอดด้วยโค 100 ตัว กับทรัพย์อีก 100 กหาปณะ  เป็นอันว่าวัว 100 ตัว กับเงินอีก 400 บาท (100 ตำลึงก็ 400 บาท สมัยนั้นแพงมาก)  ให้ตั้งไว้เป็นกองทุน ในกาลต่อมาภรรยาของเธอตั้งครรภ์ขึ้น  (ยังสงสัยเหมือนกัน  แกบวชเป็นพราหมณ์ตั้ง 48 ปี  ตอนสึกมานี้แก่อายุเท่าไร  ถ้าว่ากันอย่างน้อย ๆ ก็ปาเข้าไป 70 ปี แล้วมาแต่งงาน  มันใกล้จะตายเต็มที  แต่เรื่องของคนจะแต่งงานเสียอย่างมันก็หมดเรื่อง) ว่ากันต่อไป  ส่วนสหายของเขาคือพราหมณ์ที่อยู่ยังต่างถิ่น  ในเวลาครั้งหนึ่งก็กลับมาสู่บ้านเดิม

เมื่อพราหมณ์ที่ออกมามีเมียได้ยินข่าวว่าเพื่อนเก่ามา  จึงได้พาบุตรกับภรรยาไปหาพราหมณ์เพื่อน  เมื่อสนทนาปราศรัยกันแล้วเวลาจะกลับแกก็เอาลูกให้ภรรยาอุ้มกราบนมัสการลา  ท่านพราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนก็บอกว่า  “ฑีฆายุโกโหตุ”  ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืนนาน  มาในตอนหลังพราหมณ์ก็ให้ลูกน้อยลาบ้าง  เป็นอันว่าท่านพราหมณ์นั้นท่านนิ่งเสีย  ทั้งสองคนผัวเมียก็ถามว่า  “เวลาลูกของเราลาท่านทำไมไม่ให้พรแบบนั้น”

ท่านก็บอกว่า  “การให้พรแบบนี้ไม่ได้  เพราะว่าลูกของท่านจะตายภายใน 7 วัน  คือจากวันพรุ่งนี้ไป 7 วัน  ลูกของท่านจะตาย  ถ้าเราให้พรอย่างนั้นมันก็ให้พรผิด   ให้ไม่ได้”

พราหมณ์ผู้เป็นเพื่อนคือผู้เป็นพ่อของเด็กก็ถามว่า  “มีวิธีอะไรที่จะแก้ไขไหม”  ท่านก็บอกว่า  “ฉันได้แต่รู้ว่าเด็กจะตาย  แต่ว่าวิธีแก้ไขนี่ฉันไม่รู้”  เพื่อนจึงได้ถามต่อไปว่า  “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนรู้”

ท่านพราหมณ์ที่ยังบวชอยู่ก็บอกว่า  “มีพระสมณโคดมเท่านั้นที่จะรู้  คนอื่นเห็นจะไม่รู้  นอกจากพระสมณโคดมแล้วอาจจะมีสาวกของท่านรู้ก็ได้  ความรู้ของเราไม่มีถึงขนาดนั้น”

ท่านพราหมณ์สองตายายผู้เป็นพ่อแม่ของเด็ก  เมื่อฟังคำนี้แล้วจึงลาออกจากสำนักมุ่งตรงไปยังมหาวิหารที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงประทับ  ท่านเข้าไปเฝ้าแล้วก็ทำแบบเดิม  หมายความว่าผลัดกันไหว้  นี่เข้าไปหาหมอดู  พอพ่อไหว้  พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า  “ขอท่านจงมีอายุยืน”  แม่ไหว้ท่านก็บอกว่า  “ขอท่านจงมีอายุยืน”   แม่ไหว้  ท่านก็บอกว่า “ขอท่านจงมีอายุยืน”  พอให้ลูกไหว้  พระพุทธเจ้านิ่ง  ท่านก็ถามความนั้น

พระพุทธเจ้าก็บอกว่า  “นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป 7 วัน  คือวันที่ 7 ลูกของท่านจะตาย  ฉันให้พรแบบนี้ไม่ได้  ให้มันก็ผิด”

พราหมณ์จึงถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า  “มีอุบายอะไรบ้างหรือไม่พระพุทธเจ้าข้า  ที่จะแก้กรรมของเด็กนี้ได้  คือไม่ให้ตายในระหว่างชีวิตที่ยังเป็นเด็ก”

พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า “มี”  พราหมณ์ถามว่า  “จะทำอย่างไร”

องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงตรัสว่า  “ถ้าท่านจะพึงตบแต่งมณฑป  คือทำเป็นโรงพิธีไว้บริเวณกลางลานบ้านของท่าน  แล้วก็ให้ตั้งเครื่องบูชาที่มณฑปนั้น  ปูอาสนะไว้ 8 หรือ 16 ก็ได้  ปูล้อมรอบตั่ง  คือตั้งตั่งไว้แล้วปูอาสนะสำหรับพระนั่ง 8 ที่นั่ง  หรือว่า 16 ที่นั่งก็ได้  แล้วให้นิมนต์สาวกของเราไปนั่งบนอาสนะนั้น  ให้ทำการสวดพระปริตร 7 วัน 7 คืนไม่มีเวลาว่าง   สวดติดต่อกันไป  (สำหรับพระปริตรก็หมายความว่า  มนต์ที่พระท่านสวดมนต์เป็นกันนี่แหละ  พระที่สวดกันทุกวันนี่เขาเรียกว่า สวดพระปริตร)  เมื่อครบ 7 วันแล้ว  อันตรายของเด็กจะพึงเสื่อมไปด้วยอุบายแบบนี้  นี่เป็นวิธีต่ออายุของคนที่ยังไม่ถึงกาลสมัยที่จะต้องตายในระหว่างก่อนอายุขัยของอำนาจอุปฆาตกรรม”

เมื่อพราหมณ์นั้นได้ฟังองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กล่าวว่า “พระโคตมะผู้เจริญ  (หรือพระโคดมผู้เจริญ)  ข้าพระองค์จะทำมณฑปที่พระองค์สั่ง  แล้วจะได้สาวกของพระองค์อย่างไรพระพุทธเจ้าข้า”

พระศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า  “เมื่อท่านทำกิจเสร็จแล้ว  เราจะส่งสาวกของเราไป  ขอให้ส่งข่าวมาก็แล้วกัน”

พราหมณ์กราบทูลรับว่า  “ดีละ พระเจ้าข้า”  แล้วก็กลับไปสร้างมณฑปทำปะรำพิธีเสร็จเพราะกลัวลูกจะตาย  ตอนนี้ไม่เหนื่อย

เป็นอันว่าเมื่อเขาทำเสร็จ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงส่งพระสงฆ์ไป  (แต่ว่าจำนวนพระสงฆ์ที่ส่งไปนี่ไม่ทราบว่าเท่าไร  ตามบาลีไม่ได้บอก)  ไม่มีเวลาเว้น  ไม่ใช่ว่าไปสวดประเดี๋ยวเดียวแล้วก็กลับ  ทั้งกลางวันกลางคืนสวดติดต่อกันไปหมด  กลางวันก็เต็มวัน  กลางคืนก็เต็มคืน  เพราะว่าเป็นของไม่หนัก  เพราะเวลานั้นสาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าที่แวดล้อมพระองค์อยู่  มีถึง 500 รูป ด้วยกัน  เพราะผลัดกันไป  เวลาที่พระชุดนี้สวดพอสมควร พระชุดที่สองเข้านั่งแทนแล้วสวดต่อ  ว่ากันอย่างนี้ถึงวันที่ 7

พอในวันที่ 7  สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็เสด็จไปเอง  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไป  บรรดาเทวดาก็ดี  พรหมทั้งหลายก็ดี  มาประชุมกันเต็มจักรวาล

ท่านกล่าวว่า  เด็กที่จะตายนั้นเพราะอาศัยอาวะรุทธ ยักษ์ตนหนึ่งบำรุงท้าวเวสสุวัณแล้ว 12 ปี   เมื่อจะได้พรจากสำนักท้าวเวสสุวัณนั้น  ได้รับพรว่า  “ในวันที่ 7  จากวันนี้  ท่านจงจับเอาเด็กคนนี้”  (หมายความถึงทำให้เด็กตาย  ให้ร่างกายมันตาย  แต่เอาจิตใจคืออทิสสมานกายไปเป็นลูกน้องของตน)  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่า  อำนาจของเขาบาปปาณาติบาตในชาติก่อน  เด็กคนนี้ได้ทำไว้มากจึงกลายเป็นคนอายุสั้น  แต่ความจริงไม่ถึงอายุขัย  เขาก็มีบุญทำไว้  ทำทั้งบุญและบาป  บุญก็หนัก  บาปก็หนัก  แต่คราวนี้โทษของบาปให้ผลก่อน  เดชะบุญที่มาพบองค์สมเด็จพระชินวรเข้า

มาเล่าเรื่องนั้นกันต่อไป  เพราะฉะนั้น  ยักษ์ตนนั้นจึงได้มายืนอยู่ในวันที่ 7 คือวันอื่นเขาไม่มา  พระล้อมอยู่แล้วมาไม่ได้  เพราะไม่มีวันที่จะมารับเด็ก  วันที่ 7 ก็มายืนคอยท่า  เพราะเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปที่มณฑปนั้น  พวกเทวดาที่มีอำนาจบุญญาธิการใหญ่กว่ายักษ์ตนนั้นมาประชุมกัน  และพวกพรหมก็มา  อีตายักษ์ตนนั้นแกเหมือนพลทหารนี่  พลทหารไปยืนอยู่  เมื่อนายสิบมา พลทหารก็ถอยออกไปหน่อยหนึ่ง  จ่ามาพลทหารก็ถอยออกไปหน่อยหนึ่ง  นายร้อยมานายพันมาแกก็ถอยออกไปตามลำดับ ในที่สุดท่านมหาพรหมมาเป็นจอมทัพ พลทหารก็ไปอยู่สุดแถว  ไม่มีโอกาสที่จะเอาชีวิตเด็กได้

ท่านกล่าวว่า  ในระยะที่อาวะรุทธยักษ์ยืนอยู่นั้น  ไกลจากเด็กถึง 12 โยชน์  (แหม เทวดากับพรหมมาเยอะ)  เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทำพระปริตรตลอดคืนยันรุ่ง (นี่พระองค์ก็สวดเองเหมือนกัน)  เมื่อ 7 วันผ่านไปแล้ว  อาวะรุทธยักษ์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเอาชีวิตเด็กได้เพราะเลยกำหนดคำสั่ง  นี่คำสั่งเขาเป็นคำสั่งจริง ๆ ผีหรือเทวดาเขาไม่เหมือนคน  ไม่กลับกลอก

ในวันที่ 8  พออรุณขึ้นเท่านั้น  สองสามีภรรยาได้นำด็กมาถวายองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า  “ขอเจ้าจงมีอายุยืนนานเถิด” ตอนนี้ให้พรอย่างนี้ได้

ในเมื่อพราหมณ์ผู้เป็นพ่อได้ฟังคำพรอย่างนั้น  จึงได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  เด็กคนนี้จะมีอายุยืนนานสักเท่าไรพระพุทธเจ้าข้า”

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “พราหมณ์  ดูก่อนพราหมณ์  เด็กคนนี้จะมีอายุยืนประมาณ 120 ปี”  (แหม  น่าคิด   ดีนะที่บาปปาณาติบาตไม่ได้เอาไปเสียก่อน)

ตอนนี้ก็ขอกระตุ้นเตือนใจนิดหนึ่งเพื่อความเข้าใจว่า  การตายของคนนี้มีอยู่สองอย่าง  คือ  กาลมรณะอย่างหนึ่ง  อกาลมรณะอย่างหนึ่ง

สำหรับ  “กาลมรณะ”  นั้น  จะต้องตายก่อนอายุขัยที่กำหนดไว้  ทั้งนี้ก็เพราะว่าอำนาจของโทษปาณาติบาตเดิมที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก  มันเข้ามาริดรอนชีวิต  ถ้าโทษอย่างนี้จะพึงมีขึ้น  ถ้ารู้ทันเสีย  ทำพิธีการต่ออายุได้  เพราะว่าอายุมันยังไม่หมด  สมมุติว่าเขากำหนดว่าคนนี้จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ 60 ปี  พออายุ 10 ปี 20 ปี 30 ปี หรือเท่าไรก็ตาม  อุปฆาตกรรมมันเข้ามาถึง  โทษแห่งการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะเข้ามาปลิดชีวิตในระหว่างนี้   ตอนนี้เราทำพิธีต่ออายุกันได้  แต่ว่าการทำพิธีต่ออายุนี้ต้องมีคนรู้

คำว่า “รู้”  ในที่นี้ก็หมายความว่า  ต้องรู้เรื่อง  ไม่ใช่ต่อส่งเดช  ถ้าต่อส่งเดช ดีไม่ดีไปต่ออายุของหมอเข้า  หมอบอกว่าเคราะห์ร้าย  แกจะต้องตาย  หมอให้ต่ออายุ  พอเริ่มต่อ  หมอเขาเรียกเป็นพันเป็นหมื่น  เป็นอันว่าคนนั้นอายุน้อยเพิ่มขึ้น  แบบนี้ใช้ไม่ได้  คนที่จะต่ออายุได้จริง ๆ  ถ้าเป็นพระ  ก็ต้องมีอารมณ์ไม่น้อยกว่าวิชชาสาม หรืออภิญญาหก หรือปฏิสัมภิทาญาณ  น้อยกว่านั้นจะรู้เหตุนี้ไม่ได้  อย่างนี้เป็นการที่จะหลีกเลี่ยงได้  แต่ต้องหาพระประเภทนั้นให้ได้

เป็นอันว่า  สองสามีภรรยาก็ขนานนามเด็กนี้ว่า “อายุวัฒนกุมาร”  แปลว่ากุมารผู้มีความเจริญในอายุ  และก็อายุวัฒนกุมารนั้น  เมื่อเติบโตขึ้นแล้วก็มีบุรุษคืออุบาสก 500 คนแวดล้อม  หมายความว่าเป็นคนดี  มีความรู้  มีความประพฤติดี  ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามระบบที่บิดามารดาและพระสั่งสอน  เมื่อเธอเป็นคนดีแล้ว   ก็มีอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายยอมรับนับถือประมาณ 500 คน  จะไปไหนก็ไปเป็นคณะ 500 คน

ท่านกล่าวตามพระบาลีต่อไปว่า  ภายหลังในวันหนึ่งเมื่อภิกษุสนทนากันในระหว่างโรงธรรมว่า  “ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย  ท่านจงดู  ได้ยินว่าอายุวัฒนกุมารจะพึงตายในวันที่ 7  บัดนี้  อายุวัฒนกุมารนี้จะต้องดำรงอายุต่อไปได้อีก 120 ปี  และระหว่างนี้ในเมื่อเธอเติบใหญ่ขึ้นมา  (ใหญ่ตอนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก  แต่ว่าสัก 5-6 ขวบ พอเดินได้สบาย ๆ )  จะไปไหนก็มีคนแวดล้อมทั้ง 500 คน  ถือว่ามีเกียรติใหญ่  เหตุแห่งเครื่องความเจริญของอายุของสัตว์เหล่านี้นั้น เห็นจะพึงมี

บาลีท่านว่าอย่างนี้  เลยไม่ต้องรู้เรื่องกัน  ว่าท่านก็หมายความถึงคำพูดว่า  ความจริงถ้าคนใดจะต้องพึงตาย  แต่ปัจจัยที่ทำให้บุคคลนั้นจะต้องมีอายุยาวต่อไปได้นั้นคงจะมีแน่  นี่ว่าเป็นภาษาไทยชัด ๆ  สำนวนบาลีนี่ฟังท่านจริง ๆ ก็ปวดหัวเหมือนกัน  นี่ต้องคอยแก้ไขสำนวนเหมือนกัน

ลำดับนั้น  องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา แล้วก็ถามว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  บัดนี้เธอประชุมกันด้วยเรื่องอะไร”

บรรดาภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้น  จึงกราบทูลองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า

“ภันเต ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า  ข้าพระพุทธเจ้าประชุมกล่าวกันด้วยเรื่องชื่อนี้  (คือหมายความว่า  ปรารภถึงอายุวัฒนกุมารเป็นเหตุ)  ว่าเด็กซึ่งจะมีอายุสั้นพลันตาย  มาพบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วกลับมีอายุยืนนาน”

องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงตรัสว่า  “ภิกขเว  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อายุเจริญอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่  สัตว์เหล่านี้ไหว้ผู้มีพระคุณ  ย่อมเจริญด้วยเหตุ 4 ประการ  พ้นจากอันตราย   ดำรงอยู่ตลอดอายุ)

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา  ก็ตรัสคาถาว่า

“ธรรม 4 ประการ  คืออายุ  หมายถึงว่ามีอายุยืนนาน  วรรณะ  หมายถึงว่ามีผิวพรรณผ่องใส  มีความสวยงาม  สุขะ  มีความสุข  พละ  มีกำลัง  เจริญแก่บุคคลผู้กราบไหว้เป็นปกติ”

คือผู้อ่อนน้อมแด่ท่านผู้เจริญเป็นนิจเป็นปกติ  นี่หมายความว่า “อปจายนกรรม”  คือ  ความที่อ่อนน้อมแก่บุคคลผู้เจริญ ผู้ทรงคุณ  เป็นปัจจัยให้คนนั้นมีอายุยืนด้วย  มีผิวพรรณผ่องใสด้วย มีความสุขด้วย มีกำลังด้วย  เพราะอาศัยมีความเคารพในบุคคลผู้มีคุณ

ในเมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาแบบย่อ ๆ นี้จบ  ก็ปรากฎว่า  อายุวัฒนกุมารได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล  และบรรดาอุบาสก 500   คน  ที่แวดล้อมนั้นแล้ว  ต่างคนก็ต่างบรรลุพระอริยผลทั้งหลาย  มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น  นี่หมายความว่า  500 คน  บางคนก็เป็นพระโสดา  บางคนก็เป็นสกิทาคา  บางคนก็เป็นอนาคา  แต่ยังไม่ถึงพระอรหันต์

สำหรับเรื่องนี้  ที่นำมาเล่าให้บรรดาท่านทั้งหลายได้อ่านกัน  ถ้าจะว่ากันตามนัยของการเจริญพระกรรมฐานก็จะเห็นว่ายังไม่เข้ากันนัก   แต่ทว่ามีจุดหนึ่ง  เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาเพียงเล็กน้อย  เด็กน้อยคืออายุวัฒนกุมารก็ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล  ทำไมเขาจึงได้  ที่ได้เพราะว่าเด็กน้อยคนนี้มีชีวิตินทรีย์โตขึ้นมาได้เพราะอาศัยความดี  ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์  มิฉะนั้น เธอก็ต้องเป็นเหยื่อของยักษ์  เพราะอะไร  ก็เพราะว่าเธอจะต้องเป็นเหยื่อยักษ์ เนื่องด้วยว่าเธอนั้นจะต้องหมดอายุ  คือว่า อายุจริง ๆ ไม่หมด   แต่ว่ามีกรรมคือปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในชาติก่อน  จะเข้ามาริดรอนชีวิตของเธอ  ถ้าบังเอิญบิดาของเธอไม่ได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  และองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่ได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณ  เธอก็ต้องตาย  แต่เธอไม่ตาย  เพราะอาศัยองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นเหตุ ฉะนั้น  ความรักความเคารพในองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์  และความรักเคารพในบรรดาพระอริยสงฆ์ทั้งหลายที่ไปนั่งสวดมนต์ถึง 7 วัน 7 คืน  ก็มีอยู่ในใจของเธอ

เมื่อความรักความเคารพมีในพระพุทธเจ้า  มีในพระอริยสงฆ์  ก็ชื่อว่ามีในพระธรรมด้วย  จัดว่าเป็นจุดหนึ่งที่เธอจะได้พระโสดาปัตติผล  และต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระทศพลตรัสอย่างนั้น  เพราะอาศัยธรรมปีติปรากฎในจิตของเธอ  แต่ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์สั้นเพียงเท่านั้น

นอกจากนั้น  องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงชี้แจงเหตุผลว่า  เมื่อมีความเคารพในบุคคลผู้มีคุณแล้ว  ก็ต้องละปัญจเวร 5 ประการ  คือไม่ละเมิดศีล 5  เด็กน้อยได้ฟังวาจาองค์สมเด็จพระบรมศาสดาซึ่งมีความเคารพอยู่แล้ว  ก็มีจิตมั่นคงในศีล 5 ประการ

ฉะนั้น  เมื่อจบพระธรรมเทศนาที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัส  เธอจึงได้บรรลุพระโสดาปัตติผล  สำหรับอุบาสกคือผู้ใหญี่ที่ติดตามมาได้ผลมากกว่า  คือบางท่านก็เป็นพระโสดาบ้าง  เป็นสกิทาคาบ้าง  เป็นอนาคาบ้าง

เรื่องนี้จะชี้ให้เห็นได้ว่า  ชีวิตของคนที่จะมีอายุยืนยาวนานหรือมีอายุสั้นก็เพราะอาศัยการมีเมตตาและขาดเมตตาเป็นสำคัญ  ถ้ามีเมตตาปรานีไม่ทำลายชีวิตสัตว์  บุคคลนั้นก็มีอายุยืนยาม  บุคคลใดที่มีความเคารพมีความอ่อนน้อมต่อบุคคลผู้มีคุณ   คนประเภทนี้ก็มีอายุยืนยาวด้วย  มีวรรณะผิวพรรณผ่องใสด้วย  มีความสุขด้วย  มีกำลังดีด้วย  เพราะท่านช่วยสอนให้ตั้งอยู่ในความดี

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  เมื่ออ่านพระธรรมเทศนานี้แล้ว  ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงพากันคิดว่า  อายุวัฒนกุมารเป็นพระโสดาบันได้เพราะอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้มีความเคารพในท่านผู้มีคุณ นี้อย่างหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  อายุวัฒนกุมารมีความเคารพในพระรัตนตรัย นี้อย่างหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่ง  เพราะอาศัยมีความเคารพในพระพุทธเจ้า  อายุวัฒนกุมารจึงเจริญศีล 5 ประการครบถ้วน  จึงเป็นพระโสดาบัน

เป็นอันว่า  ความเป็นพระโสดาบันนี้เป็นไม่ยาก คือมีความเคารพในท่านผู้มีคุณ  มีความเคารพในพระรัตนตรัย  ทรงศีล 5 บริสุทธิ์เท่านั้น  นี่สำหรับฆราวาส  เณต้องศีล 10 พระต้องศีล 227  ในเมื่อจิตมีอารมณ์ตรงเป็นเอกัคตารมณ์อย่างนี้แล้ว  ก็ชื่อว่าเป็นพระอริยบุคคลในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วอย่างอายุวัฒนกุมาร

สำหรับตอนนี้  เวลาหมดแล้วก็ขอลาก่อน  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล  สมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาพุทธศาสนิกชนทุกท่าน  สวัสดี

บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘ ในส่วนบาลีมีคาถาธรรมบทที่สำคัญและเป็นที่รู้จักอยู่จำนวนมาก  เรื่องของท่านอายุวัฒนกุมาร ปรากฎในอรรถกถานี้เอง ท่านอายุวัฒนกุมารเมื่อครั้งเป็นเด็ก ไม่มีผู้ใดให้พรว่า 'ขอท่านจงเป็นผู้มีอายุยืน.' เลย เนื่องด้วยเป็นผู้มีอันตราย จักเป็นอยู่อีกเพียง ๗ วัน แต่เมื่อบิดาได้พาไปเฝ้าพระศาสดา และพระองค์ตรัสบอกอุบายป้องกัน โดยให้ทำพระปริตร ๗ วันไม่มีระหว่าง เด็กนั้นพ้นอันตรายกลับมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี เรื่องนี้เป็นที่สนทนากันของภิกษุทั้งหลาย เมื่อเหล่าภิกษุได้กราบทูลเรื่องนี้ต่อพระศาสดา ตอนหนึ่งพระองค์ได้ตรัสพระคาถา บทว่า "...อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ..." เมื่อจบเทศนานี้ ท่านอายุวัฒนกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระคาถานี้ภายหลังปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของคำให้พรของพระสงฆ์ที่ใช้กันในปัจจุบันนั่นเอง

    - - -v- - -

    คาถาธรรมบท สหัสสวรรคที่ ๘


    ชนะ
    ...บุคคลใดพึงชนะหมู่มนุษย์ตั้งพันคูณด้วยพัน ใน
    สงคราม บุคคลนั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ชนะอย่างสูงในสงคราม
    ส่วนบุคคลใดพึงชนะตนผู้เดียว บุคคลนั้นแล ชื่อว่าเป็น
    ผู้ชนะอย่างสูงสุดในสงคราม ตนแลอันบุคคลชนะแล้ว
    ประเสริฐ ส่วนหมู่สัตว์นอกนี้ๆ อันบุคคลชนะแล้วจัก
    ประเสริฐอะไร...

     

    อภิวาท
    ... ธรรม ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ
    ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีการ อภิวาทเป็นปกติ
    ผู้อ่อนน้อมต่อผู้เจริญเป็นนิตย์...

บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง