ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพรหมบัณฑิตแนะแนวปฏิรูปสงฆ์-รัฐ แก้ระบบด้วยธรรมาภิบาลบ้านเมืองเปลี่ยน  (อ่าน 1276 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29398
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระพรหมบัณฑิตแนะแนวปฏิรูปสงฆ์-รัฐ

พระพรหมบัณฑิตแนะแนวปฏิรูปสงฆ์-รัฐ แก้ระบบด้วยธรรมาภิบาลบ้านเมืองเปลี่ยน : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาโทสาขาสันติศึกษา มจร รายงาน

ขณะนี้การร่างรัฐธรรมนูญเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นแนวทางการปฏิรูปบ้านเมืองลดความขัดแย้งสร้างความปรองดองสามัคคี เป็นฐานพัฒนาแบบมีปัญญา แต่เนื้อหานั้นยังไม่เป็นที่ยุติยังมีการเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากมีความคิดความเห็นอะไรยังสามารถเสนอไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้

การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการรื้อโครงสร้างของบ้านเมืองใหม่ทุกระบบไม่เว้นแม้แต่คณะสงฆ์ก็ต้องมีการปฏิรูปด้วย ส่วนแนวทางจะเป็นอย่างไรนั้นขณะนี้ยังไม่ชัดเจนเท่าใดนักเพราะว่ามีทั้งฝ่ายหนุนและฝ่ายดึง


 :25: :25: :25: :25:

เนื่องในโอกาสการประสาทปริญญาบัตรประจำปี 2558 ของมหาวิยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ระหว่างวันที่ 7-10 พฤษภาคม พ.ศ.2558 นี้ที่ มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และวันที่  7 พฤษภาคมได้มีการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ และมีการปาฐกถาเรื่อง "พระพุทธศาสนากับหลักธรรมาภิบาล" โดยพระพรหมบัณฑิต กรรมการมหาเถรสมาคม อธิการบดี มจร

พระพรหมบัณฑิตได้เริ่มด้วยการยกเนื้อหาแห่งร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการยกร่างของคณะกรรมาธิการยกร่างแล้วนั้นโดยชี้ให้เห็นว่าได้มีการนำคำว่า "ธรรมาภิบาล" มาสอดแทรกไว้หลายมาตราด้วยกัน มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วนทั้งชุมชน สังคม การเมือง การศึกษา ร่วมถึงคณะสงฆ์ หากผ่านการเห็นชอบแบบนี้แล้วนำไปปฏิบัติได้จริงบ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีอย่างแน่นอน แต่ประเด็นก็คือ "ธรรมาภิบาล" ที่ว่านั้นคืออะไร


 :96: :96: :96: :96:

คำว่า "ธรรมาภิบาล" นี้เป็นคำเก่าที่สหประชาชาติได้นำมาใช้เป็นครั้งแรก ส่วนไทยนั้นได้นำมาใช้เมื่อคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยไอเอ็มเอฟกำหนดเงื่อนไขในการให้อุดหนุนเงินประการหนึ่งคือจะต้องมีการบริหารราชการแบบธรรมาภิบาล และสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่างระเบียบว่าด้วยการบริหารราชการแบบธรรมาภิบาลขึ้นมาก็เขียนแบบมั่วๆไม่รู้ว่าคืออะไรกันแน่ หลังจากยุคไอเอ็มเอฟผ่านไปคำนี้ก็ค่อยๆลดความสนใจลง

"ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญมีการเขียนนำหลักธรรมาภิบาลมาใส่หลายมาตรา หากผ่านแบบนี้ออกไปจะเปลียนแปลงบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน" พระพรหมบัณฑิต กล่าวและว่า

การบริหารราชการแผ่นดินและจะเป็นธรรมาภิบาลหรือไม่นั้นต้องดูองค์ประกอบ 2 ประการคือ ระบบและปัจเจกชน  หากระบบดีจะสร้างปัจเจกชนให้ดีได้ แต่ปัจเจกชนไม่ดีก็จะมีการแก้ไขระบบให้เอื้อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ปัจจุบันนี้ไทยระบบอ่อนแอแต่ปัจเจกชนเข้มแข็งดังนั้นทั้ง 2 องค์ประกอบนี้ต้องเอื้อกัน และหลักธรรมาภิบาลนี้ต้องมีทุกระดับตั้งแต่ผู้สั่งและผู้ปฏิบัติ อย่างเช่นการติดสินใจอย่าตัดสินใจคนเดียวเพราะโบราณว่าหลายหัวดีกว่าหัวเดียว และต้องปฏิบัติตามการตัดสินนั้น


 st12 st12 st12 st12

อธิการบดี มจร กล่าวต่อว่า สหประชาชาติได้กำหนดหลักของธรรมาภิบาลไว้ 8 ข้อคือ การมีส่วนร่วม รับผิดชอบ โปร่งใส ปกครองด้วยกฎหาย มุ่งความเห็นร่วมกัน ต้องตอบคำถามชี้แจงได้  ประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งคณะสงฆ์มีเพียง 6 ข้อก็เพียงพอแล้ว แต่ปัญหามีอยู่ว่าปัจจุบันนี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาล" ตรงกันหรือไม่

"ทีนี้มาดูหลักธรรมาภิบาลในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าได้วางระบบสงฆ์โดยให้สงฆ์เป็นใหญ่ หากใครเข้ามาต้องทำตามระบบสงฆ์แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้ายึดหลักการมีส่วนร่วม พร้อมกันนี้พระพุทธเจ้ามีความเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งการเป็นกลางทางการเมืองหรือ"มัชฌิมา"นี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อสังคมบ้านเมืองมีการแบ่งสีแล้วพระเป็นกลางจะอยู่ตรงไหน ดังนั้นจึงต้องดูพุทธลีลาบ้างว่าพระองค์อยู่ตรงไหน ดูอย่างกรณีที่วัสการพราหมณ์เข้าไปถามเกี่ยวกับยุทธวิธีที่จะยึดแคว้นวัชชีพระพุทธเจ้าไม่ตอบ แต่หันไปถามพระอานนท์ว่าตอนนี้ชาวแคว้นวัชชีได้ปฏิบัติตามหลักอะไร พระอานนท์ตอบว่ายึดหลักอปริหานียธรรมอยู่ ซึ่งพระองค์ตรัสว่าหากชาวแคว้นวัชชียังยึดหลักอปริหานียธรรมอยู่แล้วก็มีแต่ความเจริญไม่มีเสื่อม ทำให้วัสการพราหมณ์รู้นัย อย่างไรก็ตามแสดงว่าแคว้นวัชชีปกครองด้วยธรรมาภิบาล ความเป็นกลางทางการเมืองของพระสงฆ์อยู่ตรงนี้และเป็นประเพณีในประเทศไทยสืบมา " พระพรหมบัณฑิต กล่าวและว่า


 st11 st11 st11 st11

เพราะพระสงฆ์ต้องเป็นกลางทางการเมืองนี้ในร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 109 จึงกำหนดให้พระสงฆ์ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง แต่ที่ติดใจก็คือว่า ได้เขียนพระสงฆ์อยู่ในวรรคกับกลุ่มวิกลจริตทำให้แสลงใจ จึงได้เสนอความเห็นไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างว่าน่าจะเขียนเกี่ยวกับพระสงฆ์อีกวรรคหนึ่งต่างหาก พร้อมกันนี้พระพุทธศาสนามีหลักของความโปร่งใสพร้อมให้มีการตรวจสอบนั้นก็คือหลักการปวารณาคือยอมให้มีการตรวจสอบนั่นเอง อีกทั้งยังมีหลักในการพิจารณาคดีความคือหลักอธิกรณสมถะ 7 ประการเช่นการตัดสินด้วยองค์คณะพร้อมหน้ากัน การออกเสียงลงคะแนนเป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องชอบธรรมหากเสียงไม่ถูกต้องก็ไม่ชื่อว่าเป็นการออกเสียงที่ดี

"การปฏิรูปบ้านเมือง รวมทั้งการปฏิรูปสงฆ์ที่หลายฝ่ายกำลังคาดหวังอยู่ขณะนี้ ต้องยึดหลัก “ธรรมาภิบาล” จึงจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงและไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อให้เสื่อมหรือถดถอยลง หรือถอยหลังลงคลองย่ำแย่ยิงกว่าเดิม ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อให้บ้านเมืองมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ ดีขึ้นเพราะ “ธรรมาภิบาล”"พระพรหมบัณฑิต กล่าว

พระพรหมบัณฑิตได้ชี้แนะหนทางหรือมรรคแห่งการปฏิรูปบ้านเมืองที่ดีว่าด้วยหลักธรรมาภิบาลไว้แล้ว ก็อยู่ว่าคนเดินจะเดินทางโล่งหรือทางรก คนสร้างทางและชี้ทางไม่สามารถที่จะบังคับให้คนเดินได้ต้องเดินเอง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150507/205889.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

นักเดินทาง

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 695
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สุดท้าย พระสงฆ์ ก็ต้องเข้าไปยุ่งกับบ้านเมือง อีก มันสมกันหรือ ?

  การที่พระสงฆ์ ทำตัวเป็น เงา ( นายกเงา สส เงา นักการเมืองเงา ) ผมว่าไม่ใช่หน้าที่ ของสงฆ์

 สงฆ์ ควรจะคิด แต่เรื่อง การออกจากเรือน เพื่อ ประโยชน์ ในการภาวนา และปล่อยวางทางโลก ให้เป็นหน้าที่ของชาวโลก แนวการเมืองสงฆ์ แค่ มส. ก็ดู พอเหมาะสม ในเรือ่งการปกครองสงฆ์ แต่ความเป็นจริง ก็มีเรื่องทำเกินไป ก็มาก โดยเฉพาะ การบิดพริ้วทางวินัย เพื่อชาวโลก


   :character0029: :signspamani:
บันทึกการเข้า