ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ผู้บริหาร “วิหารเทพวิทยาคม” ยันชัด 95 ล้าน! ไม่ใช่หนี้สินของ “พ่อคูณ-วัดบ้านไร่”  (อ่าน 1181 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29435
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

นายเกรียงไกร จารุทวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ผู้ดูแลบริหารจัดการวิหารเทพวิทยาคม

ผู้บริหาร “วิหารเทพวิทยาคม” ยันชัด 95 ล้าน! ไม่ใช่หนี้สินของ “พ่อคูณ-วัดบ้านไร่”

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “เกรียงไกร” ผู้บริหารวิหารเทพวิทยาคม ยืนยันชัดเจน 95 ล้าน ไม่ใช่หนี้สินของ “หลวงพ่อคูณ-วัดบ้านไร่” ชี้เป็นเงินที่เจ้าตัวทดรองจ่ายไปก่อนในการก่อสร้างวิหาร กว่า 355 ล้านโดยไม่มีข้อผูกพันหรือสัญญา ส่วนกรรมการวัดชุดใหม่จะคืนให้หรือไม่แล้วแต่จิตสำนึก เผยวิหารกลางน้ำมีรายได้ 2.5-3 ล้าน/เดือน ระบุอนาคตอยากให้เป็นสมบัติชาติ หน่วยงานรัฐเข้ามาบริหารจัดการ
       
       วันนี้ (25 พ.ค.) ที่วิหารเทพวิทยาคม หรือ วิหารกลางน้ำ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา นายเกรียงไกร จารุทวี อดีตรองประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ผู้ดูแลบริหารจัดการ วิหารเทพวิทยาคม เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวว่า พระเทพวิทยาคมและวัดบ้านไร่ มีหนี้สินจำนวน 95 ล้านบาท จากการก่อสร้างวิหารดังกล่าวว่า วิหารเทพวิทยาคม เกิดขึ้นจากการที่ตนมาสร้างพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ จึงขยายมาทำวิหารต่อ เนื่องจากคนก่อสร้างรายเดิมสร้างมา 3 ปีแต่ไม่แล้วเสร็จ ซึ่งตนได้มารู้จัก หลวงพ่อคูณและท่านได้มอบความไว้วางใจให้สร้างวิหารกลางน้ำดังกล่าว
       
       โดยเริ่มสร้างเมื่อปี 2554 ใช้งบประมาณทั้งหมด 355 ล้านบาท ซึ่งเงินที่นำมาก่อสร้างนั้นไม่ได้มาจากเงินของวัดบ้านไร่ หรือ หลวงพ่อคูณ หรือเงินจากการสร้างวัตถุมงคล แต่อย่างใด แต่เป็นเงินที่ลูกศิษย์ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ได้สร้างพระกริ่งเทพวิทยาคม หาเงินมาสร้างวิหารก้อนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเป็นลูกศิษย์กลุ่มนักธุรกิจและประชาชนทั่วไป บริจาคอีกกว่า 100 ล้านบาท รวมเป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท

       
วิหารเทพวิทยาคม หรือ วิหารกลางน้ำ วัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา

       ขณะที่เริ่มสร้างมี ศิลปินประมาณ 40-50 คน และ ชาวบ้าน อีก 400-500 คนมาช่วยกันก่อสร้าง ตกแต่งภายในอาคาร ในช่วงนั้นหากงานหยุดชะงักไปการต่อยอดก็จะลำบาก ตนจึงปรึกษากรรมการวัดบ้านไร่ ว่าต้องกู้เงินมาใช้ในการดำเนินการต่อ โดยตนเองเอาหลักทรัพย์เป็นอาคารพาณิชย์ไปค้ำประกันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนดำเนินการเอง โดยคณะกรรมการวัดบ้านไร่เห็นชอบด้วย และมีหนังสืออนุมัติ ให้กู้เงินจำนวน 50 ล้านบาท ซึ่งในตอนนั้นตนได้ทดรองจ่ายไปบางส่วนแล้ว ไม่ได้คิดอะไรถือว่าศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่อคูณ ตนจึงกล้าทำ ไม่เคยคิดว่าจะให้หลวงพ่อคูณเป็นหนี้หรือวัดเป็นหนี้ แต่ตนทดรองจ่ายไปเพื่อให้งานเสร็จ และตนได้แจ้งกับคณะกรรมการวัดบ้านไร่ไปแล้วว่าหากวิหารมีรายได้ก็ค่อยนำเงินมาใช้คืนตนก็ได้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยทวงถาม แต่สิ่งที่จะต้องใช้ก่อนคือหนี้สินร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีหนี้ค้างจ่ายอยู่จำนวน 10 ล้านบาท แต่ตอนนี้ได้ใช้หนี้ไปแล้ว เหลืออยู่ 4 ล้านบาท เท่านั้น
       
       ยืนยันว่ารายได้ของวิหารที่เข้ามา ไม่ได้เอามาใช้คืนในส่วนที่ตนทดรองจ่ายไปก่อนแต่อย่างไร แต่นำใช้หนี้ร้านค้าก่อนเพราะของตนใช้คืนตอนไหนก็ได้ไม่เคยคิดว่าเงินก้อนนี้จะต้องได้คืนมาเร็วว่า หรือ ต้องให้รีบมาใช้คืน และไม่ได้กำหนดเวลาแต่อย่างใด

       


       นายเกรียงไกร กล่าวว่า ยืนยันว่าวัดบ้านไร่และหลวงพ่อคูณไม่ได้เป็นหนี้สิน 95 ล้านบาทตามที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชน มีเพียงเงินที่ตนทดรองจ่ายไปก่อนรวมแล้ว 95 ล้านบาท และ อีก 4 ล้านบาท ที่เป็นหนี้ร้านค้าอยู่เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่ในงบการก่อสร้างทั้ง 355 ล้านบาท เงินส่วนนี้ก็รอจากรายได้ของวิหารเทพวิทยาคม ที่จะนำมาใช้คืน เพราะตนไม่ต้องการเอาเงินวัดหรือของหลวงพ่อคูณมาใช้แต่อย่างใด
       
       “เงินจำนวนนี้เป็นเงินทดรองจ่ายไม่ใช่หนี้ เพราะไม่มีข้อผูกพันและไม่เคยมีการทำสัญญากับวัดบ้านไร่หรือหลวงพ่อคูณ เพียงแต่เงินจำนวนนี้คณะกรรมการวัดบ้านไร่รับทราบ เพราะผมรายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบทุกเดือน ซึ่งการกู้เงินนั้นกู้มาจากเพื่อนไม่ได้ใช้บริการสถาบันการเงินแต่อย่างใด และได้นำทรัพย์สินเป็นอาคารพาณิชย์ไปวางไว้เท่านั้นเอง ดอกเบี้ยก็คิดเท่ากับเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคาร และไม่เคยมีการทวงดอกเบี้ย” นายเกรียงไกร กล่าว

       

       นายเกรียงไกร กล่าวว่า รายได้ที่เกิดขึ้นจากวิหารเทพวิทยาคมนั้น มีความเคลื่อนไหวทุกวัน เฉลี่ยมีรายได้เข้าวิหารประมาณ เดือนละ 2.5-3 ล้านบาท โดยจะนำเงินเข้าบัญชีชื่อ “วิหารเทพวิทยาคม” ของธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา ด่านขุนทด ทุกวัน มีพนักงานทั้งสิ้น 129 คน ซึ่งวิหารฯ ดังกล่าว บริหารโดยตนแต่เพียงคนเดียว ตามหนังสือคำสั่งจากหลวงพ่อคูณ ที่แต่งตั้งตนเป็นผู้บริหารจัดการ ซึ่ง รายได้มาจากการทำบุญของพี่น้องประชาชน และ การจำหน่ายสินค้าในหอน้ำมนต์ โดยมีรายจ่ายรวมประมาณ 2 ล้านบาท ทั้งค่าน้ำค่าไฟ ค้าจ้างพนักงาน บางเดือนเหลือบางเดือนไม่เหลือ ตนต้องหาเงินมาสำรองจ่าย
       
       ส่วนการเบิกจ่ายเงินในบัญชีนั้น มีผู้มีอำนาจในเบิกจ่าย 3 คน คือ ประธานกรรมการวัดบ้านไร่ ไวยาวัจกรวัดบ้านไร่ และตน โดยมี 2 บัญชี คือบัญชีเงินฝากที่นำเงินเข้าออกประจำ และ บัญชีเงินเดือนพนักงาน
       
       อย่างไรก็ตามจากนี้ไปหลังหลวงพ่อคูณ มรณภาพ การบริหารจัดการวิหารเทพวิทยาคม นั้น ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวัดบ้านไร่ชุดใหม่ที่จะแต่งตั้งมา ตนไม่อาจกะเกณฑ์ได้ ส่วนเงินที่ตนทดรองจ่ายไปก่อน 95 ล้านบาทและหนี้สินร้านค้าวัสดุอีก 4 ล้านบาทนั้น แล้วแต่จะพิจารณา ตนไม่ได้เจาะจงว่าจะเร่งรัด เพราะไม่ใช่เงินกู้ที่จะไปฟ้องร้อง ถ้าไม่คืนก็ไม่คืน ตนคิดว่าโดยจิตสำนึกต้องมองว่าชาติได้ประโยชน์อะไร หากเทียบกันเงินที่ตนทดลองจ่ายไปต้องมีจิตสำนึกกันว่าจะอย่างไรแต่ไม่ใช่ให้ตนพูด เพราะตนไม่พูดอยู่แล้ว เนื่องจากเต็มใจที่จะจ่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใดตนอยากให้วิหารเทพวิทยาคมเป็นสมบัติของชาติโดยแท้จริง และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้ามาบริหารจัดการโดยตรง


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9580000059377
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ