พิมพ์

[raponsan]

กรมศิลปากรสร้างคลังรวมโบราณวัตถุ

กรมศิลปากรทุ่มงบฯ500ล้านบาท สร้างคลังพิพิธภัณฑ์กาญจนาภิเษกรวมโบราณวัตถุใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเขตภาคกลาง แก้ปัญหาขาดบุคลากร-สถานที่เล็ก คาดแล้วเสร็จภายในปี2560 ใช้เทคนิคจากญี่ปุ่นคุมอุณหภูมิห้องเก็บ รองรับแผ่นดินไหวและภัยทางธรรมชาติ 

วันนี้(27 พ.ค.) นายบวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากรมีแนวทางพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ 44 แห่งทั่วประเทศให้มีความทันสมัยมากขึ้น เนื่องจากพบว่า พิพิธภัณฑ์หลายแห่งประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ ซึ่งบางแห่งมีเพียงคนเดียว รวมถึงสถานที่เก็บโบราณวัตถุก็มีขนาดเล็กยากต่อการขยายและพัฒนา ขณะที่โบราณวัตถุก็มีเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2559 กรมศิลปากรจึงได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 500 ล้านบาท สร้างคลังพิพิธภัณฑ์กาญจนาภิเษกขึ้นในพื้นที่ ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เพื่อเป็นสถานที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุที่ยังไม่มีการนำไปจัดแสดง และโบราณวัตถุที่อยู่ในคลังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในเขตภาคกลางไว้ด้วยกัน โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติต่างๆ สามารถขอยืมโบราณวัตถุ เพื่อนำไปจัดแสดงให้ความรู้แก่ประชาชนได้ ซึ่งจะทำให้การหมุนเวียนแลกเปลี่ยนการจัดแสดงโบราณวัตถุมีมากขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ คาดว่าคลังพิพิธภัณฑ์กาญจนาภิเษกจะจัดสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2560

 

อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวต่อไปว่า ในการดำเนินการก่อสร้างคลังพิพิธภัณฑ์กาญจนาภิเษก ได้มีการนำข้อมูลจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติคิวจู ประเทศญี่ปุ่น มาปรับใช้ให้เข้ากับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของไทย โดยภายในห้องที่เก็บโบราณวัตถุจะมีการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น พร้อมทั้งเตรียมแผนรองรับการเกิดแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนมีแผนในการเชื่อมต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ของทุกพิพิธภัณฑ์เข้าไว้กับคลังพิพิธภัณฑ์กาญจนาภิเษก เพื่อให้ภัณฑารักษ์สามารถเรียกดูข้อมูลภายในคลังพิพิธภัณฑ์ได้

อย่างไรก็ตามกรมศิลปากรได้วางแผนที่จะดำเนินการจัดสร้างคลังพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกันนี้ทั้งหมด 5 แห่ง กระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งแต่ละแห่งจะนำอัตลักษณ์ของพื้นที่มาสร้างจุดแข็งให้เกิดความน่าสนใจ โดยมุ่งหวังให้เกิดการจัดนิทรรศการชั่วคราวขึ้นอย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง ซึ่งจะเกิดความเคลื่อนไหว ความตื่นตัวในการอนุรักษ์และการพัฒนาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ยั่งยืนในอนาคต

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/324072