ไปแล้วหลง"ลับแล".! 10 ข้อชวนรู้ ก่อนเที่ยวอุตรดิตถ์ เมืองชิคชิคในหุบเขา
จังหวัดอุตรดิตถ์อาจไม่ใช่จุดหมายปลายทางในใจเวลาไปเที่ยวภาคเหนือ แต่ขอบอกว่าถ้าได้ลองไปสักครั้งแล้วอาจจะหลงรักในเสน่ห์ความเรียบง่าย น่ารัก และความเป็นกันเองของผู้คนที่นี่ก็ได้
จังหวัดเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ในแถบเดียวกันกับจังหวัดแพร่และน่าน หากคุณชอบบรรยากาศของภาคเหนือและชอบเที่ยวในเมืองเรียบง่ายอย่างแพร่และน่านล่ะก็ รับรองว่าจะต้องชอบที่นี่ด้วยเหมือนกัน วันนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ขอพาไปสัมผัส 10 เสน่ห์น่ารักๆ ของ เมืองลับแลและทองแสนขัน ในอุตรดิตถ์กันสักหน่อย ไม่แน่...คุณอาจจะได้ไอเดียแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดครั้งต่อไปก็ได้

1. ทำไมต้อง 'ลับแล' ?
ขอเริ่มต้นจากเมืองท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์อย่าง เมืองลับแล กันก่อน หลายคนสงสัยว่าทำไมที่นี่ถึงชื่อว่าลับแล คำว่า 'ลับแล' แปลตรงๆ ว่า 'ที่ซึ่งมองดูไม่เห็น' เป็นชื่อเมืองที่ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากเมืองลับแลตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาสลับซับซ้อน หากมองจากภายนอกจะเห็นแต่ป่า ไม่เห็นหมู่บ้าน ว่ากันว่าถ้าคนต่างถิ่นหลงเข้าไปในเมืองลับแลแล้วจะหาทางออกไม่ได้โมเดลจำลองเมืองลับแล
มีที่มาของชื่อลับแลอีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า พอตกเย็นความมืดจะเข้าปกคลุมเมืองแห่งนี้อย่างรวดเร็ว ทำให้เมืองทั้งเมืองหายลับไปจากสายตา ด้วยว่ามีดอยม่อนฤาษีสูงใหญ่เป็นฉากกั้นแสงอาทิตย์ ผู้คนสมัยก่อนจึงเรียกเมืองนี้ว่า 'ลับแลง' (แลง แปลว่า ตอนเย็นหรือพลบค่ำ) ต่อมาจึงเพี้ยนมาเป็น 'ลับแล'
นอกจากนี้ลับแลยังมีฉายาว่าเป็น 'เมืองแม่ม่าย' เนื่องจากชาวลับแลมีอาชีพทำสวนซึ่งอยู่บนภูเขา ฝ่ายสามีจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในสวนเป็นเวลานานๆ ส่วนฝ่ายภรรยาก็จะเลี้ยงลูกๆ หลานๆ และอยู่เฝ้าบ้าน เมื่อผู้คนผ่านไปมาก็มักจะเห็นเมืองนี้มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นที่มาของฉายานี้นี่เองพระยาพิชัยดาบหัก สัญลักษณ์เมืองอุตรดิตถ์
2. มาลับแล ห้ามพูดโกหก
มีตำนานที่อยู่คู่เมืองลับแลมายาวนานนั่นคือ ตำนานเมืองแห่งสัจจะวาจา เล่ากันว่าในอดีตมีชายหนุ่มจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งเดินไปหาของป่าในดงป่าลึก เขาได้เห็นหญิงสาวงามหลายคนเดินออกมาจากชายป่า แต่ละคนก้มหยิบกุญแจที่ซ่อนไว้ตามพุ่มไม้ แล้วก็เดินหายลับเข้าป่าไปอย่างไร้ร่องรอย มีหญิงสาวอีกคนเดินมาหลังสุด นางค้นหากุญแจของนางอยู่นาน แต่ก็หาไม่พบ พลันชายหนุ่มเห็นกุญแจวางอยู่พุ่มไม้ใกล้ๆ ตน จึงเก็บเอาไว้
เขาออกไปแสดงตัวกับหญิงสาวพร้อมบอกว่า ถ้าอยากได้กุญแจนี้คืน ต้องพาตนเข้าไปในเมืองที่นางอาศัยอยู่ นางจำยอมเพื่อแลกกับกุญแจเข้าเมือง แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อชายหนุ่มเข้าไปแล้วต้องห้ามพูดโกหกเด็ดขาด ชายหนุ่มรับปาก ต่อมาทั้งสองก็ได้อยู่กินกันมีลูกด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งนางไม่อยู่บ้าน ลูกร้องหาแม่โยเย ผู้เป็นพ่อปลอบยังไงก็ไม่หยุดร้อง จึงบอกลูกไปว่า "แม่มาแล้ว แม่มาแล้ว" ลูกจึงหยุดร้อง แต่ชาวบ้านคนอื่นๆ แถวนั้นได้ยินและเห็นว่าชายหนุ่มพูดโกหก จึงขับไล่เขาออกจากเมือง
ฝ่ายภรรยาพอทราบข่าวว่าสามีต้องออกจากเมือง นางจึงเก็บเสบียงไปส่ง ในย่ามใบนั้นนางขุดขมิ้นใส่ไว้ให้หลายหัวพร้อมบอกสามีว่าอย่าเปิดดูจนกว่าจะถึงบ้านของเขา ฝ่ายสามีระหว่างทางเดินกลับบ้านเขารู้สึกว่าย่ามนั้นหนักขึ้นมาก จึงเปิดดูพร้อมหยิบขมิ้นทิ้งไปจำนวนมาก พอถึงบ้านหัวขมิ้นเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย เปิดย่ามดูอีกทีปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้กลายเป็นทองคำ เขาเกิดนึกเสียดายที่ระหว่างทางทิ้งขมิ้นไปเยอะ จึงย้อนกลับไปหาดู แต่ก็ไม่พบอีกเลย

3. ทุเรียนลับแล ของดีที่ต้องชิม
ทุเรียนหลงลับแล ถ้าซื้อหน้าสวนจะถูกกว่ามาก เพียง 200 บาท
ลับแลเป็นเมืองในหุบเขาเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกผลไม้ได้หลายชนิดทั้งลางสาด ลองกอง มังคุด ทุเรียน โดยเฉพาะราชินีผลไม้อย่างทุเรียนหลงลับแลและหลินลับแล ใครที่ได้ชิมทุเรียนป่าสายพันธุ์พื้นเมืองของที่นี่แล้วเป็นต้องติดใจในรสชาติ เนื่องจากเนื้ออร่อย ไม่เละ และมีกลิ่นอ่อนๆ ละมุนเหมือนกลิ่นดอกไม้ ไม่เหม็นรุนแรงสามารถ เสริมสกุล เลขานายกอบต.แม่พูล อ.ลับแล และเป็นเจ้าของสวนด้วย
ส่วนที่ชื่อว่าหลงและหลินลับแลนั้น สามารถ เสริมสกุล เลขานายกอบต.แม่พูล อ.ลับแล เล่าให้ฟังว่า ในปี พ.ศ. 2520 มีการประกวดทุเรียนสายพันธุ์พื้นเมืองขึ้นที่ตลาดหัวดง ต.แม่พูล ผู้ชนะเลิศได้ที่ 1 คือ ป้าหลง ส่วนรองชนะเลิศหรือที่ 2 คือลุงหลิน จากนั้นทางเกษตรอำเภอจึงได้ตั้งชื่อทุเรียน 2 สายพันธุ์นี้ว่าหลงกับหลินตามชื่อของเจ้าของสวน ต่อมาได้สนับสนุนให้ชาวลับแลปลูกทุเรียนทั้ง 2 พันธุ์นี้มากขึ้นจนเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ โดยหลงลับแลขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 400-500 บาท (หน้าสวน 200 บาท) หลินลับแลกิโลกรัมละ 600-700 บาท

4. หลง-หลิน ทุเรียนเงินล้านหลินลับแล ต่างกับหลงลับแลตรงที่ร่องพูเหมือนมะเฟือง มองเห็นชัดเจนกว่า
ทำไมทุเรียนหลงหลินถึงแพงขนาดนี้? ส่วนหนึ่งก็เพราะทุเรียนทั้งสองสายพันธุ์เป็นทุเรียนพื้นเมือง กว่าจะโตจนเก็บผลผลิตได้ต้องใช้เวลานาน หลงลับแลต้องปลูกนาน 8 ปีจึงจะให้ผล ส่วนหลินลับแลต้องปลูกนานถึง 10 ปี (ต่อมาพัฒนาการขยายพันธุ์โดยการเสียบยอด ใช้เวลา 4 ปีจึงให้ผลผลิต) นอกจากนี้ขั้นตอนการเก็บและขนส่งก็ยากลำบาก เนื่องจากสวนทุเรียนแถบนี้ปลูกกันบนภูเขาสูง การขนส่งต้องใช้สลิงขนเข่งทุเรียนข้ามเขา จากนั้นการลำเลียงเข่งทุเรียนลงจากเขา ต้องใช้มอเตอร์ไซค์ในการขนส่งเท่านั้น เพราะเส้นทางแคบและชันมาก (สวนทุเรียนที่อื่นจะปลูกบนพื้นที่ราบ)ขนส่งด้วยมอเตอร์ไซค์
นอกจากหลงและหลิน ชาวสวนก็ปลูกหมอนทองแซมด้วย
ด้วยความที่ต้องใช้เวลาปลูกนาน ขนส่งยาก แต่มีรสชาติอร่อย เป็นที่ต้องการของตลาดมาก จึงอาจพูดได้ว่านี่เองคือสาเหตุที่ทำให้ทุเรียนของที่นี่ได้ราคาดี ในแต่ละปีชาวสวนทุเรียนเมืองลับแลมีรายได้กันเป็นหลักล้านเลยทีเดียว

5. พระแท่นศิลาอาสน์อันศักดิ์สิทธิ์พระแท่นศิลาอาสน์
วัดพระแท่นศิลาอาสน์
จิตรกรรมบนบานประตูวัดพระแท่นฯ
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างของการมาเที่ยวอุตรดิตถ์ คือ การได้มาชมวัดสวยงามหลายแห่ง หนึ่งในนั้นเห็นจะเป็น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ (วัดมหาธาตุ) ตั้งอยู่ที่บนเนินเขาเต่า บ้านพระแท่น ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล ที่นี่เป็นวัดโบราณ มีพระแท่นศิลาอาสน์ที่เชื่อว่าเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ เป็นที่เคารพสักการะของผู้คนในเมืองลับแล นอกจากจะไปกราบสักการะพระแท่นศิลาอาสน์แล้ว ภายในยังมีพระพุทธรูปสวยงามหลายองค์ มีองค์เทพทันใจ และภาพจิตรกรรมลงรักปิดทองที่บานประตูสวยงามเช่นกัน

6. ลอดใต้โบสถ์ ปัดเป่าแคล้วคลาดวัดดงสระแก้ว มีโบสถ์เป็นไม้สักทอง
หลวงพ่ออู่ทองจำลอง
วัดอีกแห่งหนึ่งที่น่าไปเที่ยวคือ วัดดงสระแก้ว ต.ไผ่ล้อม อ.ลับแล ที่นี่มีโบสถ์ที่สร้างจากไม้สักทองทั้งหลัง ภายในประดิษฐานหลวงพ่ออู่ทองจำลองที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ว่ากันว่าสมัยก่อนหลวงพ่อองค์จริงได้รับมาจากพระอารามหลวงแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อนำมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้บังเอิญว่าวันหนึ่งมีกระเบื้องหลังคาหล่นลงมาใส่บริเวณไหล่ขององค์พระ จนปูนปั้นแตกออกจนเห็นองค์พระหล่อด้วยทองคำด้านใน สวยงามมาก ต่อมาได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านจึงได้ร่วมใจกันสร้างองค์จำลองขึ้นมาแทนลอดใต้โบสถ์ ความเชื่อช่วยเรื่องสุขภาพ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ ที่นี่สร้างโบสถ์แบบยกพื้น และมีความเชื่อว่าถ้าได้มาลอดใต้โบสถ์ 3 ครั้งจะช่วยให้หายจากโรคภัยและแคล้วคลาดจากสิ่งไม่ดีต่างๆ ปัจจุบันมีคนที่ศรัทธาเลื่อมใสมาร่วมกิจกรรมลอดใต้โบสถ์อยู่ไม่ขาดสาย

7. อาหารพื้นถิ่น ของกินพื้นบ้านข้าวพันผักเสวย
ไข่ม้วน เป็นข้าวพันที่ใส่ไข่และใส่ผักไปพร้อมๆ กับน้ำแป้ง พอสุกก็ม้วนออกมาใส่จาน
ของประจำถิ่นลับแลอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดลองลิ้มชมรสคือ ข้าวพันผัก ข้าวแคบ และหมี่พัน เป็นอาหารเฉพาะถิ่นที่หาทานที่อื่นไม่ได้ เริ่มจาก 'ข้าวพันผัก' ลักษณะเป็นน้ำแป้งละเลงลงบนหม้อนึ่งที่มีผ้าขาวบางปิดปากหม้อไว้ (ทำเหมือนข้าวเกรียบปากหม้อ) แล้วใส่ผักลวกสุก จากนั้นพับตลบแผ่นแป้งไปมาให้หุ้มไส้ผัก ตักใส่จาน โรยแคบหมู หมี่กรอบ กระเทียมเจียว เป็นอันเสร็จพร้อมเสิร์ฟหมี่พัน ใช้แผ่นข้าวแคบมาห่อหมี่ลวกปรุงรส
ส่วน 'ข้าวแคบ' เป็นแผ่นแป้งที่ทำเหมือนกันกับข้าวพัน แต่เมื่อนึ่งสุกแล้วจะเอาแผ่นแป้งมาตากแห้ง เก็บไว้กินได้นาน เวลาทานก็จะเอาไปห่อไส้ที่ทำจากเส้นหมี่ขาวลวก ผักลวก ปรุงด้วยพริก น้ำปลา น้ำส้ม น้ำตาล กลายเป็น 'หมี่พัน' หรือเอาแผ่นแป้งที่ตากแห้งแล้วไปย่างไฟอ่อนๆ ก็จะกลายเป็น 'ข้าวเกรียบว่าว' ของว่างกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน

8. มหาบุญ 'อัฏฐมีบูชา' ถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าเตรียมเปิดงานอัฏฐมีบูชา
นางรำสวยงาม
ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว ผลไม้ และอาหารพื้นถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่ลับแลยังมีประเพณีโบราณที่น่าสนใจ นั่นคือ ประเพณีอัฏฐมีบูชาแห่งเมืองทุ่งยั้ง งานนี้จะจัดขึ้นในช่วงวันวิสาขบูชา (ช่วงเดือนมิ.ย.) ของทุกปี เป็นการจำลองพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า โดยจัดขึ้นที่วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง เนื่องจากที่นี่มี 'พระธาตุเจดีย์' ทรงระฆังสมัยกรุงสุโขทัย ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระนลาฎ (หน้าผาก) ของพระพุทธเจ้าเอาไว้ พุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์จะสวดมนต์บูชาระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันที่พระองค์สละพุทธสรีระสังขารวัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง
สำหรับปีนี้ก็จะมีการจัดงานเหมือนเช่นเคย โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 9 มิถุนายน 2558 ณ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง ตำบลทุ่งยั้ง อำเภอลับแล ภายในงานจะมีการเวียนเทียนเนื่องในวันวิสาขบูชา มีพิธีสรงน้ำพระบรมธาตุพระราชทาน พิธีแสดงพระธรรมเทศนา กิจกรรมลานเทศน์-ลานธรรม พิธีแห่ผ้าห่มและพิธีห่มผ้าพระบรมธาตุทุ่งยั้งพระราชทาน จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มีพิธีสลากภัต มหรสพสมโภช มวยพื้นบ้าน และการแสดงแสงเสียงจำลองเรื่องราวของพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า
9. เหล็กน้ำพี้ ของดีแก้อาถรรพณ์ใช้แม่เหล็ก ไปตกแร่น้ำพี้ในบ่อ
โมเดลจำลองการตีเหล็กน้ำพี้
นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอทองแสนขัน (อยู่ใกล้ๆ กับลับแล) ที่น่าไปเยี่ยมชม จุดเด่นของที่นี่คือมี พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านบ่อเหล็กน้ำพี้ ว่ากันว่าเป็นแร่เหล็กที่คงทนแข็งแรงที่สุด ปัจจุบันพบบ่อแร่เหล็กชัดเจนอยู่ 2 บ่อ คือ บ่อพระแสง และบ่อพระขรรค์ โดยเฉพาะบ่อพระแสงจะเป็นบ่อที่มีเนื้อเหล็กดีกว่าบ่ออื่นบ่อแร่เหล็กน้ำพี้
ในสมัยโบราณนายช่างผู้ทำพระแสงดาบถวายพระมหากษัตริย์จะนำเอาเหล็กน้ำพี้ในบ่อพระแสงไปถลุงทำพระแสงดาบ จึงได้ชื่อว่าบ่อพระแสง ส่วนอีกบ่อเป็นบ่อแร่เหล็กที่เอาไว้สำหรับทำพระขรรค์ ทั้งนี้ห้ามไม่ให้ชาวบ้านขุดเอาแร่เหล็กจากบ่อทั้งสอง เพราะสงวนไว้สำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้นของที่ระลึก
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมหลักฐานและรายละเอียดต่างๆ ไว้ให้ศึกษาด้วย เช่น ประวัติเหล็กน้ำพี้ ขั้นตอนการขุดแร่ การถลุง การตีเหล็กจนเป็นดาบที่มีความแกร่งและคมเป็นเลิศ ปัจจุบันได้เปิดให้นักท่องเที่ยวมาตกแร่ด้วยแม่เหล็กจากบ่อทั้งสอง สามารถนำแร่เหล็กที่ตกได้กลับไปเป็นของที่ระลึกหรือบูชา ใกล้ๆ กันมีโซนขายของที่ระลึก เช่น หินแร่เหล็ก หินไหลดำไหลเขียว ดาบ มีด ลูกประคำ เป็นต้น

10. ชิลชิลที่ไร่องุ่น 'คานาอัน' บรรยากาศโดยรอบ
ยังไม่หมดแค่นี้ ในอำเภอทองแสนขันยังมีไร่องุ่นแห่งแรกของอุตรดิตถ์ตั้งอยู่ ชื่อว่า ไร่องุ่นคานาอัน เป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภายในนอกจากจะมีไร่องุ่นและแกะตัวน้อยรอต้อนรับแล้ว ยังมีร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มอยู่ในตัวอาคารที่มีสถาปัตยกรรมแบบทัสคานี ของประเทศอิตาลี เน้นความโค้งมนและใช้สีส้มสลับสีเหลืองโดดเด่น ด้านหน้ามีสวนขนาดย่อม มีซุ้มศาลาเล็กๆ ไว้ให้นั่งเล่น ถัดไปอีกนิด มีบันไดวนให้เดินขึ้นไปบนชั้นสองเพื่อชมวิวสวยงามรอบๆ ไร่องุ่นได้ด้วย เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 น.ไร่องุ่นคานาอันและน้องแกะตัวน้อย
อาคารสีสดสวย
มุมน่ารักๆ ที่คานาอัน
ตึกแนวทัสคานีที่คานาอัน
เครื่องดื่มและของว่างก็มีบริการด้วย
การเดินทาง
สะดวกที่สุดคือนั่งเครื่องบิน โดยมีหลายสายการบินให้บริการจากดอนเมือง ไปลงที่สนามบินพิษณุโลกหรือสนามบินสุโขทัย จากนั้นต่อรถไปเที่ยวต่อที่อุตรดิตถ์ได้เลย ถ้าไปลงที่สนามบินสุโขทัยจะใกล้กว่าแต่อาจจะต้องหารถต่อเอง แต่ถ้าลงสนามบินพิษณุโลก จะมีบริการรถตู้วิ่งตรงไปที่อุตรดิตถ์ให้ทันที จากนั้นก็สามารถไปเที่ยวในเมืองอุตรดิตถ์ มีที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟให้เลือกชิลได้เพียบแต่ถ้าจะมาเที่ยวที่ อ.ลับแล ก็มีโฮสเทลน่ารักๆ อย่าง 'ณ ลับแล' ไว้ให้บริการ เป็นที่พักราคาย่อมเยา ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ ไม่ไกลจากซุ้มประตูเมืองลับแล บริเวณนั้นสามารถไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เมืองลับแลได้ ใกล้ๆ กันก็จะมีศูนย์บริการเช่าจักรยาน สามารถปั่นชมรอบเมืองตอนเช้าๆ ได้ อากาศดี ไม่ร้อนมาก
นอกจากนี้ยังสามารถต่อรถไปเที่ยวชมสวนทุเรียนหลงและหลินลับแล เที่ยวชมวัดสวยงามต่างๆ เช่น วัดพระแท่นศิลาอาสน์ วัดดอนสัก (ประตูไม้สักแกะสลักศิลปะโบราณ) และวัดดงสระแก้วขอบคุณแผนที่ : utdc.coj.go.th
ที่มา
http://www.thairath.co.th/content/501018