ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วิถีแห่งปัญญา...ธรรมวิธีเพื่อแก้ปัญหาทั้งปวง.!!  (อ่าน 2622 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29302
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 
ขอบคุณภาพจาก http://www.thairath.co.th/content/501952


วิถีแห่งปัญญา...ธรรมวิธีเพื่อแก้ปัญหาทั้งปวง.!!
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

ปุจฉา : จะแก้ปัญหาชาวโรฮีนจาอย่างไร!?

วิสัชนา : เจริญพรสาธุชนผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา ...เข้าสู่ ยุคขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน จึงมีเรื่องเลอะเทอะเหลวไหลไร้สาระจากพฤติกรรมของคนเลว ที่ก่อการสร้างเรื่องให้วุ่นวายหัวใจชาวบ้านผู้รักสงบไปวันๆ...

จะหงุดหงิด...หดหู่ ฟุ้งซ่านซัดส่ายไปตามอารมณ์ที่ผันแปรไปมาอย่างไร ก็ควรรู้จักกดข่ม ควบคุมประคองจิตไว้ให้อยู่กับฐานที่ตั้งของกุศล จักเป็นการดี...ไม่เป็นการชั่ว ด้วยอำนาจสติที่กรองอารมณ์... ปัญญาที่ซักฟอกอารมณ์เหล่านั้นให้สะอาด ก่อนจะเสพกินเข้าไป

การจะรู้จักพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลาย อารมณ์ทั้งปวง ด้วย สติปัญญา ก่อนจะเสพกิน ด้วยหลักการรู้จักเลือกเฟ้นธรรม (ธรรมวิจัย) อย่างมีความเพียรชอบ (วิริยะ) จึงเป็นธรรมวิธีที่สำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้ตามประสงค์ ได้รับผลกุศลตามต้องการ จักต้องอาศัยการเจริญสติจนเกิดองค์ความรู้ขึ้น ที่หมายถึง มีความรู้เท่ารู้ทันเกิดขึ้นใน หนึ่งจิต นั้น...


 :25: :25: :25: :25:

ความรู้เท่า คือ ปัญญา... ความรู้ทัน หมายถึง สติ จึงเป็นอุปการธรรมที่สำคัญ ยังให้จิตมีศักยภาพพร้อมพอที่จะเผชิญปัญหาอุปสรรคนานัปการ ตลอดจนการเดินข้ามเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่คนจัญไรชอบก่อร่างสร้างเรื่องไปได้

คำว่า กำหนด... จดจ่อ... ต่อเนื่อง... แน่วแน่... มั่นคง จนรู้เท่าทัน ตรงอาการ จึงเป็นความหมายของการเจริญสติ เพื่อการก่อเกิดปัญญา คือ ความรู้ถูกต้องตรงตามธรรมให้เกิดขึ้น

ปัญญา จึงเป็นกำลังที่ยิ่งใหญ่ที่จะนำพาตนเอง ตลอดจนถึงสังคม ประเทศชาติ ออกจากภาวะวิกฤตการณ์เหลวไหลไร้สาระที่คนจัญไรชอบสร้างขึ้นได้ ด้วยองค์คุณลักษณะของปัญญาที่แสดงความรู้ดีรู้ชอบ รู้ถูกต้อง มีความเข้าใจถ่องแท้ในความมีเหตุมีผล รู้ความมีประโยชน์ และรู้ถึงวิธีการพิจารณาวินิจฉัยและการจัดการที่ถูกต้อง ที่สำคัญของการมีปัญญานั้นจะนำไปสู่ การรู้จักเหตุ... การรู้จักผลที่เกิดแต่เหตุ ความเป็นผู้รู้จักตน ความเป็นผู้รู้จักประมาณตน... ความเป็นผู้รู้จักกาล ความเป็นผู้รู้จักชุมชนและบุคคล


 st12 st12 st12 st12

ด้วยความยิ่งใหญ่ของการมีปัญญาเป็นกำลัง จึงสามารถบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้ แม้ในเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่เกิดจากพฤติจิตของคนพาล...

จึงกล่าวว่า ปัญญาพละ เป็นยอดแห่งกำลังทั้งปวง เพราะเป็นเครื่องกำกับควบคุมและรวมกำลังอื่นมาใช้ประโยชน์ได้ ไม่ว่าจะเป็น กำลังทางกาย กำลังทางทรัพย์ กำลังทางบริวาร ที่เก่งกล้าสามารถและภักดี และ กำลังที่กำเนิดของบุคคลในตระกูลสูงดังขัตติยชาติ เป็นต้น

ปัญญา จึงนำไปสู่การรู้จักประกอบความเพียรที่มีประโยชน์และเป็นธรรม มีความมั่นคงแน่วแน่ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง ตรงกาล ไม่เบื่อหน่าย และไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค

ปัญญา จึงนำไปสู่การรู้จักการทำงานที่ไม่เป็นโทษ โดยความเข้าใจเพ่งพินิจพิจารณา เพื่อให้ถูกต้องตรงตาม กฎหมาย กฎสังคม และกฎศาสนา... และที่สุดเมื่อต้องตัดสินใจระหว่างดีกับดี ...หรือชั่วกับชั่ว ก็สามารถเลือกสรรได้ตรง ธรรม ไม่ผิดเพี้ยนไปจากธรรม แม้จะไม่ตรงกับกฎหมายและกฎสังคม แม้ในกฎศาสนาก็ต้องยกธรรมเป็นธงสูงสุด โดยหากจำเป็นที่ต้องขัดแย้งกับศีลหรือวินัย ก็ต้องไม่ทิ้งธรรมโดยเด็ดขาด!!


 st11 st11 st11 st11

ความผิดไปจากธรรมนี่แหละ โยมเอ๋ย จึงเป็นบ่อเกิดแห่งความหายนะของมวลสัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยความอยุติธรรม จะเกิดปรากฏทันที นั่นหมายถึง ภัยพิบัติของโลกได้อุบัติเกิดขึ้นแล้ว ด้วยมนุษยชาติขาดปัญญา ที่นำไปสู่การไร้มโนธรรมในการบริหารจัดการปัญหาอุปสรรคทั้งปวง

พระพุทธศาสนาของเรา จึงสั่งสอนให้พุทธบริษัท รู้จักการอบรมบริหารจิตให้มีมโนธรรมด้วยธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของพรหม ที่เรียกว่า พรหมวิหารธรรม เพื่อสร้างมโนธรรมและมโนกรรมให้เกิดขึ้นในความรู้สึกนึกคิด และรู้จักการวางใจให้เป็นกลาง การทำจิตให้เสมอได้ในสถานการณ์ทั้งปวงของโลกใบนี้ ให้ไม่ติดรัก ไม่รังเกียจชัง จนสูญเสียคุณสมบัติที่ดีของจิตคือปัญญาไป... และนี่คือ วิถีแห่งปัญญาของชาวพุทธที่สามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ให้จบสิ้นไปได้ โดยไม่ก่อรูปปัญหาไว้ให้ต้องมาคิดอ่านแก้ไขอีกต่อไปในเบื้องหน้า!!


เจริญพร

ขอบคุณบทความจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/367910/วิถีแห่งปัญญา-ธรรมวิธีเพื่อแก้ปัญหาทั้งปวง-
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ