พิมพ์

[raponsan]

ย้ำพระสงฆ์อย่าหวั่นไหวปฏิรูปพุทธ

"พระพรหมโมลี"เผยเตรียมเปิดรับฟังความเห็นสงฆ์ทั่วประเทศในการปฏิรูปพุทธ 6 ด้าน สิ่งใดล้าสมัยต้องปรับ แต่ย้ำคณะสงฆ์มีวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจนอยู่แล้ว โดยมีพระธรรมวินัยเป็นฐาน ตัดพ้อฝ่ายบ้านเมืองสมัยก่อนจะออกกฎระเบียบมุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่พระ แต่ยุคนี้สั่งแบบไม่รู้จริง

วันนี้(12 มิ.ย. )พระพรหมโมลี(สุชาติ ธมฺมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ กรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) ในฐานะคณะทำงานผู้แทนมส.ในการศึกษาประเด็นการปฏิรูปพระพุทธศาสนาของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ศึกษาข้อเสนอการปฏิรูปพุทธศาสนา สปช. ใน 4 ประเด็นหลัก คือ
1.ทรัพย์สินของวัดหรือพระภิกษุ
2.พระธรรมวินัย
3.การทำพระวินัยให้วิปริต และ
4.ฝ่ายอาณาจักรต้องสนับสนุนฝ่ายศาสนาจักร ให้แล้วเสร็จใน 30 วันนั้น

ขณะนี้ผู้แทนมส.ทั้ง 3 รูป ได้ร่วมศึกษาแนวทางปฏิรูปพระพุทธศาสนากับพศ.เสร็จแล้ว โดยได้เสนอการทำงานออกเป็น 3 ระยะ ตั้งแต่เดือนมิ.ย.2558 – 2562 โดยในช่วงปี 2558 จะรับฟังความคิดเห็นของคณะสงฆ์ทั่วประเทศ เกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปใน 6 ด้านของคณะสงฆ์ ได้แก่ การปกครอง การเผยแผ่ ศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การสาธารณูปการ และการสาธารณสงเคราะห์ ส่วนไหนที่เห็นว่าล้าสมัยก็ต้องดำเนินการปรับปรุง

 

พระพรหมโมลี กล่าวต่อไปว่า สำหรับประเด็นที่มีการกล่าวถึงมาก คือ เรื่องทรัพย์สินของวัดและพระนั้น ปัจจุบันคณะสงฆ์มีระเบียบหรือกฏมส.เกี่ยวกับเรื่องการจัดทำบัญชีทรัพย์สินของวัดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการบังคับใช้ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาต้องเข้าใจว่า บางวัดก็ไม่มีทรัพย์สินให้รายงาน รวมถึงขาดบุคลากรที่จะจัดทำเอกสารดังกล่าว เช่น วัดในต่างจังหวัดหลายแห่งยังมีรายได้ไม่พอกับรายจ่ายทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าดูแลสามเณร เป็นต้น ซึ่งทางพศ.จะให้ความรู้การจัดทำบัญชีวัดอย่างถูกต้องให้ครอบคลุมทุกวัดทั่วประเทศ เพื่อทุกวัดจะได้ใช้ในการรายงานประจำปีเพื่อแสดงความโปร่งใส

พระพรหมโมลี กล่าวอีกว่า สำหรับข้อกังวลเรื่องพระสงฆ์ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนั้น จะกำชับพระสังฆาธิการทุกระดับให้เข้มงวดกวดขัน และบังคับใช้กฎ ระเบียบต่างๆ รวมทั้งจะเน้นย้ำให้พระอุปัชฌาย์ ต้องติดตามพระที่บวชใหม่และที่อยู่ในความดูแลให้มีศีลาจารวัตรที่เหมาะสม หากมีการปล่อยปละละเลยให้เกิดปัญหาและเกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาโดยรวม พระอุปัชฌาย์ก็ต้องได้รับโทษฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่ถูกตักเตือน ภาคทัณฑ์ สั่งพักงาน หรือปลดออก

 

“ฝ่ายบ้านเมืองในยุคก่อนจะออกกฎหมาย หรือระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่คณะสงฆ์ ยกย่องเชิดชูคณะสงฆ์ เพื่อให้พระพุทธศาสนาเกิดความมั่นคงในแผ่นดินไทย แต่คนยุคนี้ไม่ใช่ จะสั่งให้คณะสงฆ์ หรือพระสงฆ์ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง ก็ขอให้คณะสงฆ์อย่าไปตระหนก เพราะคณะสงฆ์มีวัฒนธรรมองค์กร ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาช้านานตามธรรมเนียมปฏิบัติ ตามพระไตรปิฎก และพระธรรมวินัยอยู่แล้ว หากเราไม่ยึดวัฒนธรรมองค์กรก็จะเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมได้”กรรมการมส.กล่าว

ขอบคุณภาพข่าวจาก : http://www.dailynews.co.th/education/327878