พิมพ์

[raponsan]

ห้างร้านเอกชน ร่วมบูรณะ วัดป่าพุทธรังสี โตเกียว

จากเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ส่งผลให้ชาวพุทธทั้งในเมืองไทยและญี่ปุ่นรู้สึกเศร้าสลดเมื่อได้ทราบข่าวว่า วัดป่าพุทธรังษีโตเกียว ในพระสังฆราชูปถัมภ์ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีเจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตเป็นประธานอุปถัมภ์ ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากไฟฟ้าลัดวงจร ส่งผลให้เสนาสนะของวัดนั้นเสียหายทั้งหมด ประกอบไปด้วยกุฏิพระ 3 หลัง อาคาร 2 ชั้น 1 หลัง ศาลา 100 ปี สมเด็จพระสังฆราช 1 หลัง ศาลาฉันท์ 1 หลัง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท

ในฐานะที่โออิชิเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น เมื่อเห็นวัดไทยในญี่ปุ่นได้รับความเสียหาย บริษัทฯ จึงยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือทันทีภายใต้โครงการ “ให้” ซึ่งการให้ความช่วยเหลือดังกล่าว นอกจากได้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมบูรณะวัดไทยซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนไทยในญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็นการสะท้อนภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างโออิชิกับญี่ปุ่นได้อย่างเหมาะสม

วัดพุทธรังษี เปิดอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานชื่อ “วัดพุทธรังษี” เช่นเดียวกันกับวัดพุทธรังษี เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ต่อมาในปี พ.ศ.2556 สมเด็จพระสังฆราชทรงรับวัดแห่งนี้ไว้ในพระสังฆราชูปถัมภ์ เนื่องในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ 100 พรรษา

วัดพุทธรังษี กรุงโตเกียว มีเนื้อที่ 6 งาน โดยดัดแปลงโรงนาเก่าเป็นกุฏิสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาทั้งหมด 4 รูป และมีศาลาขนาดเล็กเป็นอุโบสถชั่วคราว และเมื่อปลายปี 2557 พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและญี่ปุ่น ร่วมทอดกฐินสามัคคี สมทบทุนซื้อที่ดินก่อสร้างอุโบสถวัดพุทธรังษี เพื่ออุทิศถวายเป็น พระกุศลแด่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวาระสิ้นพระชนม์ครบ 1 ปี

สำหรับแผนงานการบูรณะวัด พระครูสังฆสิทธิกร อธิบายว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการรื้อถอนซากปรักหักพังและปรับพื้นที่เรียบร้อยแล้ว จากนี้จะได้ดำเนินการให้สถาปนิกออกแบบอาคารศาลาการเปรียญอเนกประสงค์ 2 ชั้น กุฏิและโรงครัว และภาพรวมของวัดขึ้นใหม่ เพื่อนำไปใช้ประกอบการขออนุญาตจากหน่วยงานราชการของประเทญี่ปุ่นซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี ดังนั้นขณะนี้พระภิกษุจึงต้องจำวัดในบ้านพักใกล้ๆ วัดไปก่อนจนกว่าจะนำกุฏิชั่วคราวเข้าไปตั้งได้ คาดว่าต้องใช้เวลาการบูรณะวัดประมาณ 1 ปี หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว

ขณะที่โต้โผการจัดผ้าป่าสามัคคี มารุต บูรณะเศรษฐกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เล่าถึงที่มาการจัดงานครั้งนี้ว่า “เมื่อทางเราทราบข่าวว่าวัดไทยในญี่ปุ่นได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ โออิชิในฐานะบริษัทที่ทำธุรกิจด้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น จึงรีบจัดโครงการ “โออิชิ ให้...บูรณะวัดไทยในญี่ปุ่น” เพื่อระดมทุนบริจาคไปช่วยบูรณะซ่อมแซมวัดป่าพุทธรังษีโตเกียวซึ่งเป็นศูนย์รวมใจพุทธศาสนิกชนไทยในประเทศญี่ปุ่นและเป็นศูนย์แห่งการเผยแผ่วัฒนธรรมไทยในต่างแดน”

ในส่วนการให้ความช่วยเหลือจากภาคเอกชน โออิชิ กรุ๊ป จึงจับมือร่วมกับบริษัทพี่ใหญ่อย่าง บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งแบ่งการช่วยเหลือเป็น 2 เฟส เฟสแรก คือ การระดมทุนบริจาคโดยไปตั้งกล่องรับบริจาคที่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ ร้านโออิชิ บุฟเฟ่ต์, ร้านนิกุยะ รวมทั้งหมด 33 สาขา และที่อาคารสำนักงานบริษัทในเครือ ได้แก่ อาคารแสงโสม, อาคารปาร์คเวนเชอร์ และอาคารเบอร์ลี่ยุคเกอร์

หลังจากนั้นจึงสานต่อการช่วยเหลือในเฟส 2 โดย มารุต บูรณะเศรษฐกุล พร้อมคณะ เดินทางไปที่วัดป่าพุทธรังษีโตเกียว ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในฐานะเจ้าภาพเพื่อร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี นำเงินบริจาคทั้งหมดที่ได้จากการตั้งกล่องรับบริจาค และเงินบริจาคสมทบจาก มูลนิธิสิริวัฒนภักดี จำนวน 1 ล้านบาท,

บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ จำนวน 1 ล้านบาท และ บมจ. โออิชิ กรุ๊ป จำนวน 1 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,176,122 บาท มอบให้กับทางวัดในงานวันวิสาขบูชาที่ทางวัดจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
 

บรรยากาศงานดูคึกคักและอบอุ่น โดยได้รับเกียรติจาก สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เอกอัครทูตประเทศไทยประจำกรุงโตเกียว เป็นประธานในพิธี โดยพิธีการทอดผ้าป่าที่ญี่ปุ่นก็ไม่ต่างกับที่เมืองไทย เริ่มจากท่านประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย และพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ หลังจากนั้นพระสงฆ์ออกบิณฑบาตในบริเวณวัด แล้วจึงเป็นพิธีทอดผ้าป่า ปิดท้ายด้วยพิธีเวียนเทียนปฏิบัติบูชารำลึก กระทำการเวียนประทักษิณ 3 รอบตามประเพณี ซึ่งมีพุทธศาสนิกชนมากมาย ทั้งชาวไทย ชาวพุทธ ชาวญี่ปุ่น มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญเพิ่มเติมได้โดยบริจาคผ่านธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อวัดพุทธรังษีโตเกียว เลขที่บัญชี 008-2-51018-6

ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.banmuang.co.th/news/economy/20109