ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทุบอาคารวัดกัลยาณ์ ปัญหาและทางออกตามแนวพุทธวิธี  (อ่าน 875 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ทุบอาคารวัดกัลยาณ์ ปัญหาและทางออกตามแนวพุทธวิธี
กรมศิลป์ทุบอาคารวัดกัลยาณ์ปัญหาและทางออกตามแนวพุทธวิธี
พระมหาสิริชัย ธัมมานุสารี วัดอนงคารามรายงาน

จากที่เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ พระสงฆ์-สามเณรถือป้ายขอความเป็นธรรม ไม่มีห้องเรียนพระธรรมวินัย กรณีกรมศิลปากรได้นำทีมงานเข้ารื้อถอนศาลาราย ๒ หลัง ของวัดกัลยาณมิตร วรมหาวิหาร ตามหนังสือคำสั่งศาลปกครอง เลขที่ วธ ๐๔๐๑/๒๗๑๙ ลงวันที่ ๑๓ ก.ค. ๕๘ เรื่องแจ้งการเข้ารื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมศิลปากร จากนั้นจึงมีการเข้ารื้อถอนเป็นลำดับมาจนแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นภาพสะเทือนใจแก่พุทธศาสนิกชนผู้พบเห็นอย่างยิ่ง คือมีหน่วยงานของรัฐชื่อว่า "กรมศิลปากร" จากหน่วยงานที่มีภาพลักษ์ว่าเป็นผู้รักษา แต่กลับปรากฏให้เห็นว่าเป็นผู้ทำลาย ทำให้ผู้เขียนเกิดความสงสัยว่า จริงๆแล้วสาเหตุของปัญหานี้คืออะไร จึงได้นำหลักพระพุทธศาสนา คือ อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ นำมาจับกับเหตุการณ์นี้ แต่ประยุกต์ใช้ในแง่ของปัญหาบ้านเมือง(วัด) ดังต่อไปนี้

 ans1 ans1 ans1 ans1

๑. ทุกข์ (ความทุกข์) คือผลลัพธ์ที่ว่าวัดกัลยาณมิตร กับกรมศิลปากร ต้องฟ้องร้องกันเป็นคดีความ เรื่องวัดบูรณะโบราณสถานแล้วสร้างอาคารใหม่ทับเขตโบราณสถาน ซึ่งอยู่ในความดูแลตามกฎหมายของกรมศิลปากร

๒. สมุทัย (เหตุให้เกิดทุกข์) คือสาเหตุของปัญหา จากที่ผู้เขียนได้ศึกษาทราบว่า เอกสารประกาศกรมศิลปากร เรื่องกำหนดบัญชีโบราณวัตถุสถาน ตอนที่ ๖๔ เล่มที่ ๖๖ ราชกิจจานุเบกษา ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๒ กรมศิลปากรได้จัดทำบัญชีโบราณวัตถุสถานจำนวน ๒๒ รายการ ๑ ในนั้นมี วัดกัลยาณมิตร รวมอยู่ด้วย แต่มิได้กำหนดเจาะจงลงไปว่า พื้นที่ของวัดส่วนใหนบ้างที่เป็นวัตถุโบราณสถาน เพียงแต่เหมารวมเท่านั้นว่า “โบราณวัตถุสถานในวัด” เมื่อทางวัดนำโดยเจ้าอาวาสทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ “ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ หมวด ๕ เรื่อง วัด มาตรา ๓๑ ให้วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป” โดยก่อนทำการบูรณะนั้น เจ้าอาวาสได้ทำหนังสือขออนุญาตกรมศิลป์หลายฉบับ แต่ไม่มีการตอบกลับใดๆ จึงทำให้ทางวัดปรับภูมิทัศน์ตลอดมา

๓. นิโรธ (ความดับทุกข์) คือการแก้ปัญหา เมื่อเข้าใจผลลัพธ์และสาเหตุของปัญหาแล้ว ขั้นต่อไปคือการแก้ปัญหาที่ต้นตอของเรื่อง ได้แก่ การทำความเข้าใจกันในฐานะที่ต่างคนต่างยึดหลักของตน ทางวัดก็ยึดพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ๒๕๐๕ กรมศิลป์ก็ยึดพระราชบัญญัติโบราณสถาน ๒๕๐๔ แก้ไขเพิ่มเติม ๒๕๓๕ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่ามีความผิดเหมือนกัน ฉะนั้น จะทำอย่างไรให้ทั้งทางวัดและกรมศิลป์ ปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยไม่ทิ้งหลักการ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องร่วมกันแก้ โดยในส่วนนี้ ๑ พระพรหมดิลก เจ้าคณะกรุงเทพฯ ก็ล่าวไว้ในทำนองเดียวกัน

๔. มรรค (ข้อปฏิบัติในการดับทุกข์) คือหนทางไปสู่การแก้ปัญหา ได้แก่การแนะให้กรมศิลป์กำหนดเขตเจาะจงให้ชัด ว่าส่วนใหนคือพื้นที่ๆกรมศิลป์ดูแล ทางวัดจะทำการใดๆไม่ได้ ครั้งต่อไปจะได้ไม่เข้าไปยุ่ง ถ้าทางวัดต้องการบูรณะในพื้นที่นั้นต้องได้รับการอนุญาตจากกรมศิลป์ก่อน และเมื่อทางวัดทำเรื่องไปแล้วกรมศิลป์ต้องทำหนังสือตอบกลับมาโดยเร่งด่วน เพราะวัดเป็นสถานที่อาศัยอยู่ของพระภิกษุ-สามเณร และเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในการทำกิจวัตรของสงฆ์ หากล่าช้าในการทำหนังสือตอบกลับ อาจมีผลต่อการดำรงชีวิต เช่นเดียวกับบ้าน ถ้ารู้ว่าส่วนใหนทรุดโทรม ก็ต้องได้รับการซ่อมแซม มิฉะนั้นแล้วบ้านอาจถล่มและส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตก็เป็นได้


 ask1 ask1 ask1 ask1

มุมมองเชิงวิเคราะห์ ประเด็นที่ ๑ คือ กรมศิลป์ต้องการเอาผิดกับเจ้าอาวาสในข้อหาบูรณะปฏิสังขรณ์วัตถุโบราณสถาน แล้วสร้างอาคารใหม่ในเขตโบราณสถาน เรื่องนี้ กรมศิลป์มิได้เจาะจงว่าส่วนใหนคือเขตโบราณสถาน แล้วจะเอาผิดกับเจ้าอาวาสว่าเป็นผู้ทำลายได้อย่างไร ในเมื่อเป็นความผิดของตนที่ไม่ได้กำหนดเขตให้ชัดก่อน ซึ่งต่างกับวัดอื่นๆที่ขึ้นทะเบียนแล้วมีการกำหนดเขตที่แน่นอน มีวัดพิชยญาติการาม เป็นต้น

ตามหลักพระพุทธศาสนา พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ประยุตฺโต) ได้ให้ความหมายเรื่อง ๒ “กรรม (การกระทำ) ไว้ว่า คือการกระทำที่ประกอบด้วย “เจตนา” ทางกาย ทางวาจา ทางใจ” นั้นก็หมายความว่า ทางวัดบูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่ใช้งานไม่ได้ แล้วสร้างใหม่เพื่อเป็นที่อาศัยของพระสงฆ์-สามเณร ศึกษาพระธรรมวินัย ไม่เป็นกรรมของทางวัด คือ ไม่ประกอบด้วยเจตนาเพื่อจะทำลายโบราณสถาน และในส่วนการตีความกฎหมายทางโลก จะให้ความสำคัญกับ “เจตนา” หรือไม่นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาไม่แพ้กัน


 :96: :96: :96: :96:

ประเด็นที่ ๒ คือ จะทำอย่างไรเพื่อให้ข้อพิพาทนี้จบลงด้วยดี พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้กล่าวไว้ว่า ๓ “พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติวิธีระงับอธิกรณ์(ข้อพิพาทขัดแย้ง) ซึ่งเรียกว่า อธิกรณสมถะ ๗ ประการ ตัวอย่างเช่น ติณวัตถารกะ คือ วิธีระงับข้อพิพาทด้วยการประนีประนอมยอมความ โดยที่คู่กรณีตกลงยอมความกันไป ไม่ต้องมีการชำระสะสางให้มากเรื่องเหมือนเอาหญ้ามากลบทับปัญหาไว้” จริงอยู่ว่าวิธีระงับอธิกรณ์นี้ ส่วนใหญ่จะใช้เฉพาะในแวดวงสงฆ์ แต่ก็ไม่มีพระบัญญัติข้อใดว่าห้ามนำมาใช้ในทางโลก

ในส่วนนี้ ถ้าถือว่าอธิบดีกรมศิลปากรยังมีความเป็นพุทธอยู่บ้าง ก็ควรร่วมมือกับทางวัดว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร จะประนีประนอมยอมความกันตามแนววิถีพุทธได้หรือไม่ สิ่งใดที่แล้วมาถือว่าจบกันไปเพราะต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจกัน เมื่อยอมความกันแล้วทางอธิบดีกรมศิลป์จะได้ไม่มีมลทิลติดตัว และทางวัดจะได้เริ่มต้นใหม่ในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ ถ้ายังเป็นคดีความกันอยู่เช่นนี้ต่อไป คงไม่เป็นผลดีต่อใครแน่ คนเรามีอายุไม่ถึง ๑๐๐ ปี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วชนรุ่นหลังยังจำเรื่องราวในวันนี้ได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขประวัติศาสตร์เสียแต่ยังมีชีวิต


 :25: :25: :25: :25:

“ถ้ามนุษย์เราทุกคนไม่ยอมรับความผิดของตน ไม่รู้จักสำรวจตนเองก่อนแล้วค่อยสำรวจผู้อื่น มักเห็นแต่ความผิดของผู้อื่นอยู่ร่ำไรเหมือนโทษของคนอื่นเท่าภูเขา โทษของเราเท่าปลายเข็ม แนวคิดพื้นฐานเหล่านี้ล้วนเป็นต้นตอของปัญหาสังคมในทุกระดับภาค ถ้าการทุบทำลายอาคารที่ทางวัดสร้างใหม่ จัดว่าเป็นความยุติธรรม ไฉนเลยไม่เรียก “การทุบทำลาย” ว่าเป็นความยุติธรรมไปเลยเล่า...? ”


ขอบคุณภาพและบทความจาก
 http://www.komchadluek.net/detail/20150830/212514.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ