ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สาวอัมพวา หนีตำแหน่งสนมพระเจ้าเอกทัศน์ มาเป็นราชินีพระพุทธยอดฟ้าฯ  (อ่าน 1139 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29355
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
อุทยาน ร.๒ นิวาสสถานเดิมของสมเด็จพระอมรินทราที่อัมพวา


สาวอัมพวา หนีตำแหน่งสนมพระเจ้าเอกทัศน์ มาเป็นราชินีพระพุทธยอดฟ้าฯ

        พงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ได้กล่าวถึงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ตอนหนึ่งว่า
       
       “...พระองค์ประสูติ ณ วันพุธ เดือน ๔ แรม ๕ ค่ำ ปีมะโรง อัฐศก จุลศักราช ๑๐๙๘ (พ.ศ.๒๒๗๘) ณ กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา มีนิวาสฐานอยู่ภายในกำแพงพระนครเหนือป้อมเพชร ครั้นปีฉลู นพศก จุลศักราช ๑๑๑๙ พระชนมายุครบ ๒๑ ปีเสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทะลายพรรษา ๑ แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในพระเจ้าแผ่นดินที่ ๓๒ ซึ่งปรากฏพระนามเรียกเป็นสามัญว่า ขุนหลวงดอกมะเดื่อนั้น ครั้นต่อมาพระองค์ได้วิวาห์มงคลกับธิดาในตระกูลเศรษฐีที่ตำบลอัมพวา แขวงเมืองสมุทรสงคราม อยู่ต่อพรมแดนเมืองราชบุรี จึงเสด็จออกไปรับราชการอยู่ในเมืองราชบุรี ได้เป็นตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมื่อพระชนม์พรรษา ๒๕ ปี”
       
       :96: :96: :96: :96:

       ใน “สามกรุง” พระนิพนธ์ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ เจ้าของนามปากกา น.ม.ส. ได้กล่าวถึงเบื้องหลังเรื่องนี้ไว้ว่า
       
       ใคร่กล่าวสาวเรื่องย้อน ถอยหลัง หน่อยรา
       พระพุทธยอดฟ้ายัง ใช่เจ้า
       บ่าวสาวกล่าวปลูกฝัง ฝังใฝ่ ฝาแฮ
       นรีรัตน์ขัติเยศเข้า คู่ห้องสองสมฯ

       
       และขยายความเรื่องนี้ไว้ในท้ายเล่มว่า
       
       “มีเรื่องเล่าตามที่ได้ยินผู้ใหญ่กล่าวสืบกันมาว่า ในแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศ มีข้าหลวงเที่ยวไปตามหัวเมืองแลตำบลใหญ่ๆในชนบท สืบหาธิดาของผู้มีเทือกเถาอันดีกอบด้วยรูปลักษณ์อันงาม จดชื่อส่งเข้าไปถวายพระเจ้าแผ่นดินว่าสมควรแก่ตำแหน่งพระสนม ถ้าพูดตามประเพณีบิดามารดาก็ต้องส่งลูกสาวเข้าไปถวาย หากจะมีชายอื่นกล่าวสู่ขอไว้ก็ต้องระงับ เพราะเกรงพระราชอาญา เสมอกับว่านางนั้นขึ้นทะเบียนที่เป็นนางในเสียแล้ว พูดตามปรกติบิดามารดาโดยมากก็คงจะยินดีที่บุตรีมีโอกาสจะได้สู่ฐานะอันสูง เป็นเกียรติ์แก่พ่อแม่พี่น้องแลตำบลบ้านช่องของตนสืบไป



พระบรมราชานุสาวรีย์ ร.๒ ที่วัดอัมพวันเจติยาราม อัมพวา


      แต่พระชนกชนนีของสมเด็จพระอมรินทร (พระนามเดิม นาก) ไม่ยินดีที่จะถวายบุตรีเป็นพระสนมของพระเจ้าเอกทัศ ครั้นทราบว่าธิดาถูกจดนามส่งไปยังกรุง ก็รีบไปปฤกษาหลวงพินิจอักษรเสมียนตรามหาดไทย หลวงพินิจอักษรเห็นว่าทางแก้มีทางเดียว คือให้รีบแต่งงานเสียกับบุตรชายคนใหญ่ของหลวงพินิจอักษรเอง พระชนกชนนีเห็นชอบ พระพุทธยอดฟ้ากับสมเด็จพระอมรินทรจึ่งได้ทรงแต่งงานกัน แต่ก่อนที่จะแต่งนั้นผู้ใหญ่ในสกุลได้นำความขึ้นทูลพระเจ้าเอกทัศ พระเจ้าเอกทัศพระราชทานอนุมัติ แลพระราชทานพรให้อยู่กินด้วยกันเป็นสุขสวัสดี
       
       เรื่องที่เล่านี้ไม่เคยเห็นในหนังสือ แต่คนรุ่นเก่าเล่ากันแพร่หลาย เมื่อเร็วๆนี้ข้าพเจ้าถามสอบในพวกญาติราชนิกุลบางช้างที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ก็ว่าเคยได้ยินเช่นเดียวกัน ตามที่เล่าข้างบนนี้อาจไม่ถูกทั้งหมดแต่คงจะมีเค้ามูลบ้าง”
       
       นั่นเป็นข้อความในหนังสือ “สามกรุง”

        :sign0144: :sign0144: :sign0144:

       สมเด็จพระอมรินทรา มีพระบิดามารดา คือ ท่านทอง กับ ท่านสั้น และมีพี่น้องรวม ๑๐ พระองค์ ท่านทองถึงพิราลัยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนท่านสั้นมีพระชนม์ถึง ๙๐ ปีเศษ สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๓๔๔ และได้รับการถวายพระนามในสมัยรัชกาลที่ ๔ ว่า สมเด็จพระรูปศิริโสภาคย์มหานาคนารี ซึ่ง สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงเล่าไว้ใน “สาส์นสมเด็จ” ว่า
       
      “เคยได้ยินพระบรมราชาธิบายของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า เมื่อในรัชกาลที่ ๑ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกไม่ได้ทรงยกย่องพระญาติวงศ์ของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชินีให้วิเศษแต่อย่างใด ตรัสเล่าเรื่องที่ได้ทรงสดับมาเป็นตัวอย่างว่า สมเด็จพระรูปศิริโสภาคทรงผนวชเป็นรูปชีอยู่ก่อนถึงรัชกาลที่ ๑ ก็เป็นแต่เสด็จเข้ามาอยู่ที่ตำหนักสมเด็จพระอัมรินทราอย่างเงียบๆจนตลอดพระชนมายุ แต่เมื่อสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ พระราชทานโกศทรงพระศพ สมเด็จพระอมรินทรทรงยินดีถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า แม่ข้าเป็นเจ้าฯ”



ป้ายที่ติดไว้ที่วัดอัมพวันฯ


       สมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี มีพระราชโอรสพระราชธิดาถึง ๑๐ พระองค์เช่นกัน แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขึ้นครองราชย์แล้วไม่ปรากฏว่าสมเด็จพระอมรินทราทรงมีพระราชโอรสพระราชธิดาอีกเลย อีกทั้งยังไม่เคยเข้าประทับในวังหลวงหลังจากที่ทรงได้รับสถาปนาพระยศขึ้นเป็น อรรคมเหสี คงเสด็จเข้ามาบางครั้งเพื่อทรงเยี่ยมพระราชโอรสพระราชธิดา และเสด็จกลับก่อนปิดประตูวังทุกครั้ง ประทับอยู่แต่บ้านเดิมจนสวรรคต
         แม้แต่ราชาศัพท์ก็ไม่ทรงใช้กับพระราชสวามีหรือพระราชโอรสพระราชธิดาเลย ทรงเรียกพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯว่า “เจ้าคุณ” เหมือนเดิม โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอตรัสเรียกพระองค์ว่า “คุณแม่” และตรัสเรียกสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชโอรสพระราชธิดาว่า พ่อฉิม พ่อจุ้ย แม่แจ่ม แม่เอี้ยง และตรัสด้วยภาษาสามัญเช่นคนธรรมดาจนสิ้นพระชนมายุ

       
       ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงสถาปนาเฉลิมพระยศสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เป็น กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒
       
       กรมสมเด็จพระอมรินทรามาตย์ มีพระชนมายุยืนยาวถึงรัชกาลที่ ๓ สวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๖๙ ขณะพระชนม์ได้ ๘๙ ปี ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติแห่งความเป็นเจ้าอย่างแท้จริง

       
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000095812
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 05, 2015, 07:55:10 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 like1
        ดังนั้นเอง ร.2 จึงรัก สมุทรสงคราม

           จึงได้สร้างที่พักส่วนพระองค์ อยู่ที่อัมพวา  เพราะเป็นบ้าน ของมารดา และ ตายาย
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา