ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ : การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก  (อ่าน 2700 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
 

การฟังจากผู้รู้ : ธรรมะยูเทิร์น โดยอิทธิโชโต

        กิจฺฉํ สทฺธมฺมสฺสวนํ
        การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก......พุทธพจน์
   
     แล้วจะฟังอย่างไรให้เข้าใจจนเกิดปัญญารู้แจ้งเล่า.?
     ความเป็นพหูสูต เริ่มต้นจากการฟัง การฟังที่ดีเป็นเหตุให้การศึกษาเจริญ เมื่อการศึกษาเจริญ เป็นเหตุให้ปัญญาเจริญ เมื่อปัญญาเจริญแล้ว ก็รู้จักสิ่งที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์ เมื่อสิ่งที่เป็นคุณเกิด ความสุขก็เกิด       ปัญหาของคนทุกวันนี้ คือ ฟังไม่ค่อยเป็น แม้ว่าจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในการสื่อสาร แต่ปรากฏว่า คนกลับเข้าใจกันน้อยลง เพียงเรื่องโลกๆ ยังฟังกันไม่เข้าใจ แล้วจะฟังธรรมให้เข้าใจได้อย่างไร หากไม่ตั้งใจฟัง ดังที่พุทธพจน์กล่าวไว้ว่า การฟังธรรมของสัตบุรุษเป็นการยาก


      ask1 ask1 ans1 ans1

     ยากตรงไหน.?         
     ยากอันดับแรกก็ตรงที่ เราไม่ตั้งใจฟัง เวลาฟังก็ไปคิดโน่นคิดนี่ ก็เลยฟังแล้วไม่ได้ยิน หรือจะเรียกว่า ไม่ได้ฟังมากกว่า  ยากอันดับต่อมา คือ ฟังแล้วไม่นำมาคิดพิจารณาต่อ หรือปล่อยให้การฟังนั้นผ่านเลยไป

     การฟังให้เป็น หรือการฟังด้วยปัญญา หมายความว่า เราต้องฟังจากผู้รู้ ครูบาอาจารย์ เวลาไปฟังธรรม หรือฟังครูบาอาจารย์ ขณะฟัง เราต้องฟังด้วยความตั้งใจว่าครูบาอาจารย์กำลังสอนอะไร ชี้แนะอะไร ท่านต้องการสื่อสารอะไร เพราะท่านมีจุดประสงค์ มีเจตนาในการสอนอยู่แล้ว ส่วนผู้ฟัง จะฟังได้สาระหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจดจ่อของผู้ฟังเอง เพราะคำว่า พหูสูต หรือ พาหุสัจจะ หมายถึง ผู้ได้สดับตรับฟัง ผู้มีปัญญารอบรู้ ผู้รู้รอบด้าน ผู้ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาการมามาก ได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ มามาก และสามารถทรงจำไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องกุศล จนนับได้ว่าเป็นผู้รู้ เป็นปราชญ์

   




     ในความหมายก็คือ ผู้ได้เล่าเรียนหรือได้ฟังพระพุทธพจน์แล้วสามารถนำมาใช้ได้กับตนเอง และถ่ายทอดให้แก่ผู้อื่นอย่างถูกต้อง เป็นผู้ฉลาดรู้ เรียกความเป็นพหูสูตนั้นว่า พาหุสัจจะ ซึ่งเป็นหนึ่งในมงคล ๓๘ ประการข้อหนึ่งที่นำความเจริญก้าวหน้ามาให้ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า

     "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผู้สดับแล้ว ย่อมละอกุศล เจริญกุศล ย่อมละสิ่งมีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้บริสุทธิ์" ดังนี้.

     อีกพระดำรัสหนึ่งตรัสว่า "ย่อมพิจารณาความของธรรมทั้งหลาย ที่ทรงจำไว้ ธรรมทั้งหลายย่อมทนการเพ่งพินิจของเธอ ผู้พิจารณาความอยู่ เมื่อธรรมทนการเพ่งพินิจอยู่ ย่อมทำให้เกิดฉันทะแล้วก็อุตสาหะ เมื่ออุตสาหะ ก็ใช้ดุลพินิจ เมื่อใช้ดุลพินิจ ก็ตั้งความเพียร เมื่อตั้งความเพียร ย่อมทำให้แจ้งปรมัตถสัจจะ และย่อมเห็นทะลุปรุโปร่ง ด้วยปัญญา" ดังนี้


      ans1 ans1 ans1 ans1

     เห็นไหมว่าเพียงแค่ฟังอย่างมีสติ ปัญญาก็เกิด เมื่อปัญญาเกิดก็นำไปสู่ความพากเพียรในการพิจารณาธรรม จนเห็นแจ้งในความจริงเป็นที่สุด

     การเห็นแจ้งในความจริงในที่สุดก็คือ เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พูดและฟัง คือเห็นสังขารของการพูดและฟัง ไปจนกระทั่งเห็นความไม่มีตัวตนของผู้พูดและผู้ฟังนั่นเอง เป็นเพียงสิ่งที่ได้ยินจากการที่เสียงกระทบหูเท่านั้น หรือ
     ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน" ดังนี้


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150927/214102.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ