ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เครียดเรื้อรังไม่รู้ตัว..อันตราย ทำร้ายวัยทำงาน  (อ่าน 842 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เครียดเรื้อรังไม่รู้ตัว..อันตราย ทำร้ายวัยทำงาน

งานเยอะ กลัวผิดพลาด กังวลว่างานออกมาไม่ดี เกรงว่าไปไม่ถึงเป้าหมาย ภาระค่าใช้จ่าย ภาระทางครอบครัวค่าครองชีพที่สูงขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นความกังวลของคนวัยทำงานทั้งสิ้น และเป็นสาเหตุสำคัญของ “ความเครียดเรื้อรัง” แบบไม่รู้ตัว จากผลการวิจัยของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2549 หนุ่มสาววัยทำงานมีสถิติเรื่องความเครียดสูงสุด และความเครียดเรื้อรังนี้เองที่เป็นสาเหตุทำลายสุขภาพและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ (NCDs) ของคนวัยทำงานได้ ซึ่งจากรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุขปี พ.ศ.2552 พบว่าประชากรในกลุ่มวัยทำงานในภาพรวมเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในสัดส่วนที่สูงสุด

น.พ.ฮันส์ เซลเยอ ชาวออสเตรีย ผู้ศึกษาเรื่องฮอร์โมน ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อคนเราเกิดความเครียด ฮอร์โมนกว่า 30 ชนิดในร่างกายเราจะปั่นป่วน ฮอร์โมนบางชนิดอาจจะหายไปหรือหยุดทำงาน และฮอร์โมนบางชนิดอาจจะทำงานหนักมากเกินไปความปั่นป่วนของฮอร์โมนนี้เองที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางกาย เริ่มตั้งแต่เจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงป่วยหนักเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ได้


 :41: :41: :41: :41:

ภญ.วิชชุลดา ผรณเกียรติ์ ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้า วีแคร์ ได้อธิบายเกี่ยวกับความเครียดว่า ความเครียดเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์ในการตอบสนองต่อสิ่งที่คุกคามหรือกดดัน ซึ่งส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ จริงๆ แล้วหากเป็นความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายกระตือรือร้นและขวนขวายหาความสำเร็จ แต่ถ้าความเครียดมากเกินไปและสะสมจะส่งผลเสียมากมาย ซึ่งพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความเครียดเรื้อรังแบบไม่รู้ตัว ได้แก่ การเป็นคนที่ชอบชิงดีชิงเด่นเอาชนะ เป็นคนที่เข้มงวดไม่มีการผ่อนปรน เป็นคนที่พยายามทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เป็นคนที่ใจร้อนไม่ชอบรอนาน เป็นต้น

“ความเครียดที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายๆ ด้าน ตั้งแต่อาการเล็กๆ น้อยๆ อย่างปวดศีรษะบ่อย ปวดไมเกรน เพราะความเครียดส่งผลให้สารซีโรโทนินในสมองพร่องไป การขาดซีโรโทนินจะทำให้หลอดเลือดเกิดพองขยายและหดตัวมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้หรือมีอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง และนอนไม่หลับเพราะความเครียดเรื้อรังส่งผลให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกิดการตึงตัวและทำให้มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัว รวมไปถึงกระตุ้นวงจรการนอนหลับให้ผิดปกติได้ในบางราย บางรายอาจมีอาการเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ อย่างภูมิแพ้ ซึ่งถือเป็นโรคยอดฮิตของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ หรือภูมิแพ้ทางผิวหนัง เพราะความเครียดจะไปกดระบบภูมิคุ้มกันโดยผ่านฮอร์โมนชนิดหนึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต่ำหรือบกพร่องไป จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหรืออาจมีอาการกระเพาะอาหารปั่นป่วน หรือเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร เพราะปัจจัยทางจิตใจมีผลทำให้สารคัดหลั่งในกระเพาะอาหารออกมามาก

 :91: :91: :91: :91:

นอกจากนี้วิถีชีวิตที่เครียดจะทำให้เกิดความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งทำให้เกิดความอ่อนแอต่อการได้รับเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ซึ่งปนเปื้อนอยู่ในอาหารและน้ำดื่ม ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้แต่ในบางรายที่มีความเครียดสูงๆ และเรื้อรังนานมากๆ อาจเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ เช่น โรคความดันโลหิตและโรคหัวใจ จากการศึกษาพบว่าผู้ที่มีความวิตกกังวลมากอยู่เป็นประจำมีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติถึง 2 เท่า

นอกจากนี้ผู้ที่มีภาวะความเครียดมากๆ จะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจช่องซ้ายโต ที่สำคัญความเครียดฉับพลันมีผลอย่างมากต่อเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะและในผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอยู่ก่อนแล้วมีโอกาสหัวใจวายสูงขึ้น หรืออาจจะมีอาการผิดปกติของระบบสืบพันธุ์เพราะความเครียดส่งผลให้ความต้องการทางเพศลดลง มีอาการปวดประจำเดือนประจำหรือมีโอกาสเป็นหมัน และยังพบว่าผู้ที่มีความเครียดเป็นประจำจะมีโอกาสการแท้งขณะตั้งครรภ์ได้บ่อย ผู้ที่มีความเครียดเรื้อรังยังเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากกว่าคนปกติด้วย มีการศึกษาในหนูที่มีสารก่อมะเร็งพบว่าหนูที่ถูกกดดันให้เครียดจะมีอัตราการลุกลามของมะเร็งเร็วกว่าหนูที่ไม่ได้ถูกกระตุ้นให้เครียด

จึงกล่าวได้ว่าความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญในการลุกลามของโรค นอกจากนี้นักวิจัยชาวอเมริกาจากศูนย์มะเร็งพิตส์เบิร์กยังพบอีกว่าในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่รู้สึกว่าไม่ได้รับกำลังใจจากครอบครัวเซลล์มะเร็งจะมีปัญหามากขึ้น


 :32: :32: :32: :32:

ภญ.วิชชุลดา อธิบายเพิ่มเติมว่า จะเห็นได้ว่าความเครียดนั้นส่งผลต่อสุขภาพมากมายหลายด้าน ดังนั้น เราจึงต้องหา วิธีบรรเทาความเครียด ปรับทัศนคติและวิถีชีวิตให้เหมาะสม อันดับแรก การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างครบถ้วนและมีวิตามินบีสูงเพียงพอ สามารถช่วยคลายเครียดได้ เช่น ไข่แดง ตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว แป้งไม่ขัดสี ธัญพืชและถั่ว เป็นต้น เพราะวิตามินบีเป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญในกระบวนการสร้างพลังงานจากสารอาหารให้สมอง ซึ่งในขณะที่ร่างกายต้องเผชิญความเครียดสมองและระบบประสาทต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก และวิตามินบีในร่างกายจะถูกดึงไปใช้หมดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สมองและระบบประสาทขาดพลังงานนำไปสู่ความเครียดที่รุนแรงยิ่งขึ้น ในผู้ที่ขาดวิตามินบีถึงแม้จะได้รับสารอาหารต่างๆ มากมายเท่าไรก็ตาม สารอาหารเหล่านั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานให้สมองได้

ดังนั้น ผู้อยู่ในภาวะเครียดจึงควรได้รับวิตามินบีปริมาณสูงเพียงพอเพื่อใช้เปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงานแก่สมองและระบบประสาทได้ทันที ผู้ที่ได้รับวิตามินบีในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดีขึ้นรู้สึกประปรี้กระเปร่าขึ้น และมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่เร็วขึ้นอีกด้วย โดยร่างกายคนเราควรได้รับวิตามินบี 25-50 มิลลิกรัมต่อวัน ควบคู่กับการพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง หรือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เพราะการออกกำลังกายจนได้เหงื่อ จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ช่วยให้ร่างกายและจิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

 :49: :49: :49: :49:
 
ที่สำคัญ การพูดคุยปรึกษาปัญหากับคนใกล้ชิดสามารถช่วยลดความเครียดได้ เพราะเมื่อเราได้พูดสิ่งที่อัดอั้นในใจออกไป และได้คำปลอบประโลมกลับมาจะทำให้รู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น หรือการรู้จักปรับเปลี่ยนความคิด อย่ามัววิตกกังวลให้มากเกินไปลองปรับทัศนคติมองโลกในแง่ดีบ้าง

แม้แต่การเจริญสติ และ การฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้า-ออกจะช่วยชะลอความโกรธ คลายความกังวล ลดความกลัวและความตื่นเต้นลงได้ สามารถช่วยลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

แนะนำให้ทำสมาธิทุกวันก่อนเข้านอนเป็นเวลา 20 นาที เพียงแค่นี้คุณก็จะสามารถบรรเทาความเครียดจากการทำงาน และมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.banmuang.co.th/news/bangkok/34904
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ