ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมนำทางปีใหม่ สุขๆทุกข์ๆอยู่ที่เรา  (อ่าน 1006 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ธรรมนำทางปีใหม่ สุขๆทุกข์ๆอยู่ที่เรา

ปีใหม่ 2559 ใกล้มาถึงแล้วอย่างเป็น ทางการ เป็นความใหม่...ความสดใสที่ทุกคนต่างได้รับกันอย่างถ้วนหน้า เป็นปีที่ลงท้ายด้วยเลขเก้าซึ่งหลายคนมีความเชื่อ...มั่นใจว่าจะก้าวย่าง ก้าวเดิน สร้างความมั่นคง ความเจริญก้าวหน้าให้กับชีวิต สร้างสิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม ชาติบ้านเมือง

“ปีใหม่” จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ใหม่ เป็นปีแห่งความหวังว่าจะได้พบแต่สิ่งที่ดีเพราะอะไรก็ใหม่ด้วยกันทั้งนั้น แต่ความหวังนั้นจะเป็นจริงมากน้อยเพียงใด ก็อยู่ที่การคิด การพูด และการกระทำของเราเป็นที่ตั้ง ทุกสิ่ง...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลสอดคล้องกันไป



เหตุดีผลก็จะดีติดตามมา “เหตุ”...ไม่ดี “ผล”...ก็จะไม่ดีติดตามมา ล้วนส่งผลกระทบกันเป็นลูกโซ่ทั้ง “ด้านดี” และ “ด้านไม่ดี” ให้คิดง่ายๆแบบสบายๆใจก็คือตัวเราได้พบกับปีใหม่ 2559 กันแล้ว

พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก เลขานุการมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน วัดบางไส้ไก่ เขตธนบุรี กทม. บอกว่า ชีวิตของคนเราต่างมีขึ้นมีลง เจริญรุ่งเรือง ตกต่ำลงมาสุดที่ชีวิตจะรับได้ ดีใจ เสียใจ ได้พบความสุข ได้สัมผัสกับความทุกข์ ได้รับการสรรเสริญเยินยอจากผู้คนในสังคม ได้รับการติฉินนินทาสาปแช่งจากผู้คนในสังคม

เหล่านี้...ย่อมเกิดกับทุกคน ทุกชีวิต แตกต่างกันเพียงว่าใครได้รับส่วนใดมากน้อยที่แตกต่างกันออกไปเท่านั้น ได้รับสิ่งที่พึงปรารถนาก็มีความสุข ได้รับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็มีความทุกข์

ใจของเราเท่านั้นที่จะบังคับมิให้ลุ่มหลงไปกับ “โลกธรรม” คือ “ธรรมะที่อยู่คู่กับโลก”

ถ้าตกต่ำก็สามารถกำหนดได้ด้วยใจมิให้ท้อแท้ เบื่อหน่าย หมด อาลัยตายอยาก...ตรงกันข้ามถ้าเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาก็สามารถใช้ใจให้กำหนดรู้แล้วไม่ลุ่มหลง ไม่ลืมตัว ไม่ลืมความเป็นจริงของตนเอง ดังนั้น...คนที่มีธรรมะครองใจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย รู้จักใช้ธรรมะส่องนำชีวิตย่อมใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข



“ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องการความสุข...เกลียดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วเช่นนี้ก็อย่าได้มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรง ทำลายล้างผลาญผู้อื่น ขอให้มีความเมตตาปรานี รู้จักช่วยเหลือเอื้อเฟื้อคนอื่น

...เราไม่ได้ให้วัตถุสิ่งของก็ขอให้ด้วยใจ ให้ความเมตตา ให้ความ ปรารถนาดี ให้ความหวังดี ให้อภัยแก่คนที่เคยกระทำผิด ให้อภัยแก่ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา สิ่งที่ดีงามอันเกิดจากตัวเราที่มีอยู่ก็ขอให้หยิบยื่นให้กับผู้อื่นให้มากที่สุด”

คนที่ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ คนที่ให้ความเมตตาก็จะยิ่งมีเมตตาสูง คนที่ให้โอกาสคนอื่นก็ย่อมจะมีโอกาสได้ทำความดีมากขึ้นและคนที่ให้อภัยคนอื่นก็ย่อมเป็นคนมองโลกในแง่งาม เป็นคนที่สร้างสังคมให้เกิดความเมตตา มองเห็นชีวิตของคนอื่นก็มีค่าเหมือนกับชีวิตของตนเอง...

การที่คนเราจะอยู่ร่วมกันในครอบครัว ในชุมชน ในหมู่บ้าน ในสังคมและในประเทศชาติได้อย่างมีความสุขได้ก็ล้วนแต่ทุกคนส่งความหวังใหม่ ความปรารถนาดีให้ซึ่งกันและกัน ไม่จองเวรซึ่งกันและกัน ไม่ข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่าหรือคนที่ด้อยโอกาสกว่า ไม่เอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน แบ่งปันกันทำมาเลี้ยงชีพ

 :25: :25: :25: :25:

“อย่าเห็นแก่ตัว อย่ากอบโกยเอาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือพวกพ้องของตนเอง จงเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แล้วตัวเรา...

ธุรกิจของเราจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น...ส่วนรวม สุดท้ายชีวิตของเราก็จะไม่ถูกตรวจสอบ ไม่ถูกเบียดเบียนเพียงเพราะเกิดจากการรู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของเรานี่เอง”

การเลี้ยงดูสมาชิกในครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้า “สถาบันครอบครัวอบอุ่น” มีความสุขแล้ว ความสุข...ความมั่นคงของสังคมก็ย่อมจะติดตามมา แต่ถ้าภายในครอบครัวมีแต่ปัญหาขาดความรักความอบอุ่น มีแต่ความขัดแย้งจนไม่มีที่สิ้นสุดเสียแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าความสงบสุขในครอบครัวจะเกิดขึ้น



รวมถึงจะกลายเป็นผลร้ายต่อสังคม ประเทศชาติในที่สุด ดังนั้นต้องเริ่มต้นที่...“ครอบครัว” ขอให้ผู้คนในครอบครัวให้ความเคารพให้เกียรติ ไว้วางใจซึ่งกันและกัน...รู้จักลดราวาศอก ฝ่ายหนึ่งแรงมาก็อย่าได้แรงตอบ

สักวันหนึ่งการรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามจะกลายเป็นอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ “ความรุนแรง”...ไม่เคยก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นมาได้เลย แต่ความเมตตาปรานีนี่เองที่จะก่อให้เกิดความสงบสุขและความเยือกเย็นกับชีวิตดังโบราณที่ว่า “สงบกายสุขใจ สงบใจสุขทั้งชีวิต”

“ศาสนา” เกิดขึ้นจาก “ความกลัว” ของมนุษย์ เมื่อเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม ไฟไหม้ ฟ้าผ่า เกิดลมพายุพัดพังเสียหาย จึงต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น บางทีก็เป็นรูปธรรม บางทีก็เป็นนามธรรม ในที่สุดจึงเกิดศาสดาของลัทธิตามความเชื่อและความศรัทธาต่างๆขึ้นมากมาย จนเกิดการแนะนำพร่ำสอน เกิดคำสอน เกิดผู้ที่มีความเชื่อแล้วปฏิบัติตามกลายเป็นลูกโซ่กันไป ในที่สุดจึงกลายเป็น “ศาสนาต่างๆ” ที่มีอยู่บนโลกนี้

“ทุกศาสนาล้วนสอนศิษย์และผู้นับถือให้เป็นคนดีทั้งสิ้น ส่วนวิธีการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันออกไปบ้างก็เป็นธรรมดา มีทั้งชนิดเคร่งครัด ชนิดปานกลางและชนิดหย่อนยาน ซึ่งวิธีปฏิบัติเหล่านั้นเราจะไปตำหนิหรือเปรียบเปรยกันไม่ได้เด็ดขาด เพราะความเชื่อความศรัทธาเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละคน



เมื่อเราเกิดมาได้พบศาสนา...มีศาสนาในดวงใจแล้วเช่นนี้ก็ขอให้น้อมนำเอาหลักธรรมคำสอนของศาสดาที่ได้เผยแผ่ออกมานี้นำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ในครอบครัวของเรา”

พระพุทธศาสนาสอนมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันเปรียบเสมือนดอกบัวสี่เหล่า คนที่มีความสามารถปฏิบัติธรรมได้...รักษาธรรมได้ก็ย่อมไม่เหมือนกัน บางคนปฏิบัติได้ดี...ได้มาก บางคนปฏิบัติได้น้อยก็ถือว่าตามกำลังศรัทธาของแต่ละคนไป การปฏิบัติธรรมย่อมทำได้ทุกอิริยาบถของชีวิต นับตั้งแต่ยืน เดิน นั่ง นอน ธรรมะมิใช่อยู่ภายในวัดอย่างเดียว ธรรมะอยู่ทุกแห่งหน ธรรมะไม่เลือกว่าจะเป็นคนยากดี...มีจนก็สามารถปฏิบัติ รักษากันได้ทุกชีวิต

“การฝึกตนให้มีความอดทนก็เป็นสิ่งจำเป็น การรู้จักอดทนต่อความร้อนที่แผดเผา ต่อความหิวกระหายที่เกิดขึ้น ต่อความเหนื่อยยากของหน้าที่การงาน อดทนต่อสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ”

เมื่อเราผ่านพ้นกับสิ่งเลวร้ายไปแล้ว คนที่อดทนได้ย่อมมีความมั่นคงและมีความสง่างาม พระมหาสมัย บอกอีกว่า การรู้จักดำเนินชีวิตอย่างมีความเพียรพยายามก็เป็นอีกประการหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นในชีวิตประจำวัน ความเพียรในวันนี้ยังไม่สำเร็จ...วันข้างหน้าก็จงมีความเพียรต่อไป

“คนที่มีธรรมะ” มิใช่คนที่เข้าวัดรักษาศีลแต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ประมาท ไม่หลงงมงาย ไม่ให้กาลเวลาผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ คนที่มีธรรมะในดวงใจจึงเป็นคนที่สงบ เยือกเย็น มีความสุข สง่างาม คนที่อยู่ใกล้ก็พลอยได้รับไออุ่นแห่งความสุขไปด้วย

 st12 st12 st12 st12

ปีใหม่ขอจงใช้ธรรมะนำทางด้วยการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท...

ไม่ประมาทในเพศ ไม่ประมาทในวัย ไม่ประมาทในสถานะทางสังคม ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน ไม่ประมาทในการเดินทาง ไม่ประมาทในการศึกษาเล่าเรียน ไม่ประมาทในการเสพสุข ไม่ประมาทในการอุปโภคบริโภค ไม่ประมาทในการใช้อิริยาบถทั้งสี่ประการ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เหล่านี้ย่อมจะเป็นผลดีต่อชีวิตของเรา...

ปีใหม่ 2559 นี้ขอให้ทุกชีวิตได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ขอให้ทำหน้าที่ของตนเองตามสถานะและกำลังที่มีอยู่นี้ให้บริบูรณ์ ขอจงใช้ธรรมนำทาง ดำเนินชีวิตอย่างสุขสมหวังตลอดทั้งปี.


ขอบคุณภาพและบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/555274
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ