ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จิต เป็น นาย กาย เป็น บ่าว คำนี้กล่าวถูกหรือยังครับ  (อ่าน 10998 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เคยได้ยิน ว่า  จิต เป็น นาย กาย เป็น บ่าว

แต่ถ้าหาก มีผู้กล่าวว่า จิต เป็น บ่าว กาย เป็น นาย

อย่างไหน จะถูกในคำกล่าวคร้า...

 :25:
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
พลังจิตทำชีวิตให้เต็ม


พุทธสุภาษิตบทหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีคือ “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” ซึ่ง มีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่มีบาปกำเนิดเหมือนศาสนาที่มีพระเจ้า พุทธศาสนาเน้นว่า ไม่ว่าใครจะดีหรือเลว มีบาปหรือบริสุทธิ์ล้วนขึ้นอยู่กับตนเองเป็นผู้กำหนดด้วยการคิด พูด ทำ ไม่มีใครเป็นที่พึ่งของเราได้นอกจากตนเอง ดังนั้น ต้องคิดพูดทำให้ดี หมั่นฝึกดัดให้เกิดความคุ้นเคยกับพฤติกรรมที่ดี เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะเกิดความเคยชินกับความดี เมื่อคิดชั่วก็จะมีความชั่งใจ ทั้งก่อนคิดและลงมือทำ

ภาษิตว่า  “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นี่เป็นความลุ่มลึกของคนไทยโบราณที่ชี้ให้ลูกหลานเห็นความจริงที่ว่า หากต้องการมีความสุขแท้ ๆ ต้องหมั่นปลูก รักษารดน้ำเอาใจใส่ที่ “จิต” ไม่ใช่ “กาย” เพียงอย่างเดียว  ด้วยเหตุนี้ต้องฝึกหัดบังคับตนเอง ผู้อื่นจะเป็นศัตรูคิดทำร้ายเราก็ไม่เท่ากับเราเป็นศัตรูหรือทำร้ายเราเอง  อีกทั้งหากยังไม่สามารถบังคับดูแลคนอื่นได้ ไม่จำต้องหวังดูแลคนอื่น  คุณค่าของการบำรุงจิตใจจะสามารถบังคับตนเองได้อย่างน้อยคือ

1. บังคับการหลับและตื่นนอน  การหัดนอนให้หลับสนิทเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนักในการพักผ่อนของร่างกายและจิตใจ เหตุที่ทำให้นอนไม่หลับมี 2 ประการ

            1.1 ร่างกายไม่สบาย  อาจเนื่องมาจากอาหารที่ย่อยยาก หรือรับประทานมากเกินไป ร่างกายทำงานหนักเพราะต้องทำการย่อยมากเกินไป ดังนั้น หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้วไม่ควรนอนทันที ควรจะนั่งหรือเดินผ่อนคลาย ทำจิตให้สบายก่อน ขณะนอนควรจัดระเบียบร่างกายให้สบายที่สุด

            1.2 ความคิดฟุ้งซ่าน เป็นสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับ  ดังนั้น ถ้าจิตฟุ้งซ่านให้คิดถึงอะไรก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงจุดเดียวหรือเรื่องเดียว เช่นจะกำหนดพุท-โธ หรือสวดมนต์เฉพาะบทก็ได้ เสร็จแล้วก็เลิกไม่คิดสิ่งนั้นและไม่คิดอะไรอื่นทั้งสิ้น  ทำจิตให้หมดจดเหมือนน้ำที่ใสสะอาด
 
การบังคับตัวให้ตื่นตามเวลาที่กำหนด กล่าวคือ ก่อนนอนต้องคิดให้แน่วแน่ ตั้งจิตอธิษฐานสั่งตนเองให้ตื่นเวลาเท่านั้น  กำหนดจิตและฝึกบ่อย ๆ ก็จะสามารถทำได้


2. ผ่อนความคิดได้ตามต้องการ คือ เมื่อต้องการคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็คิดเฉพาะเรื่องนั้นเรียกว่า มีโฟกัสและมีระเบียบทางความคิด อีกทั้งเมื่อไม่ต้องการคิดอีกต่อไปก็จะสามารถเปลี่ยนเรื่องได้ทันทีไม่ วุ่นวายในการคิดหลาย ๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนความคิดเช่นนี้ได้เป็นเหตุให้สมองมีเวลาพักผ่อนชั่วคราว  ทำให้สมองมีกำลังแข็งแรง

3.  สมานจิตเมื่อตกอยู่ในอันตราย  เมื่อประสบทุกข์หรืออยู่บรรยากาศที่เศร้าสลด ก็ไม่เสียใจ สะดุ้งดิ้นรนจนหมดปัญญาแก้ไข  ความสงบไม่ตื่นเต้นเป็นเหตุให้เกิดปัญญา ทำกิจการงานก็สำเร็จได้โดยง่าย

4. เปลี่ยนร้ายกลายเป็นดี   การฝืนใจตัวชั่วขณะหนึ่ง สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ทีเดียว เช่นเดียวกันกับการทำตามใจตัวชั่วขณะหนึ่งก็สามารถทำลายชีวิตได้เช่นกัน

5. มีการทดสอบอยู่เสมอ การตรวจสอบตนเองเป็นสิ่งสำคัญที่จะได้รู้ว่า กำลังใจมั่นคงขึ้นหรือไม่  ความดีความชั่วเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใด  ใจสะดุ้งหวาดกลัวอยู่หรือเปล่า ให้ทดสอบพลังจิตอยู่เนือง ๆ อย่างนี้

6. ไม่เผอเรอเพราะจิตตานุภาพ  การสะดุ้งตกใจหรือเสียใจ ความกลัว ความกังวล เป็นสาเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บและบั่นทอนสุขภาพจิต  คนไข้หากสุขภาพจิตดีก็หายไว เจ็บป่วยไม่นานก็ทุเรา
 
พระมหาปุณณ์สมบัติ  ปภากโร
ผอ.ศูนย์บริการวิชาการ
มมร วิทยาเขตล้านนา

ที่มา http://www.kroobannok.com/blog/10422

บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
จิตเป็นนาย  กายเป็นบ่าวจริงหรือ


กิเลส คือ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เป็นนายของจิต
          จิตเป็นนามธรรม มีหน้าที่คิดตามอำนาจของกิเลสหรือปัญญา  ตัวอย่างเช่น 
ขณะที่  กิเลสความโลภ  ครอบงำจิต  จิตก็จะคิดอยากได้สิ่งต่าง ๆ เช่น อยากได้ทรัพย์สมบัติ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นต้น  ความโลภก็จะสั่งให้จิตคิดหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งนั้น ๆ มาเป็นของตน 

ผู้ที่มีกิเลสหนาความโลภก็จะมาก จิตก็จะคิดตามอำนาจของกิเลส  แม้ผิดกฎหมายก็จะทำ เช่น  ใช้วาจา โกหก  หลอกลวง  ใช้กายไปฉกชิง  วิ่ง ราว จี้ปล้น หรือวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่กลัวบาป กลัวโทษจากกฎหมายบ้านเมือง สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเองและผู้อื่น  นี่คือกิเลสความโลภ เป็นนายของจิต

          ขณะที่  กิเลสความโกรธ  ก็เช่นเดียวกัน  เมื่อความโกรธครอบงำจิต  ความโกรธก็จะใช้ให้จิตคิด  โกรธ  เกลียด  อาฆาต พยาบาท  ปองร้าย  คิดทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น  โดยใช้วาจาและกายประกอบกรรมชั่วต่าง ๆ โดยไม่คำนึงว่า จะผิดกฎหมาย  ผิดครรลองครองธรรม หรือผิดจารีตประเพณี  ทำความเดือดร้อนให้กับตนเอง  ผู้อื่น  และประเทศชาติบ้านเมือง นี่คือกิเลสความโกรธ  เป็นนายของจิต

          ขณะที่  กิเลสความหลง  คือความรักใคร่พอใจ ในสิ่งต่าง ๆ กิเลสก็สั่งจิตให้ยึดมั่น ถือมั่น ว่าเป็นความสุข เช่น พอใจในรูป  เสียง  กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์  และลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  ความหลง ก็สั่งจิตให้คิด รักใคร่พอใจ เมื่อตาเห็นรูปที่สวย  หูได้ยินเสียงอันไพเราะ  เมื่อจมูกได้กลิ่นหอม  เมื่อลิ้นได้ลิ้มรสอาหารที่อร่อย 

เมื่อกายสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน  นุ่ม  ก็เกิดอารมณ์รักใคร่ พอใจ แล้วยึดติดในสิ่งต่าง ๆ หลงในลาภ ยศ สรรเสริญ  สุข  ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพอใจรักใคร่ในสิ่งใดกิเลสความหลงก็จะใช้ให้จิตคิดว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข  จึงคิดไขว่คว้าหามาเป็นของตน นี่คือกิเลสความหลงเป็นนายของจิต

          เพราะฉะนั้น  เราจะเห็นได้ว่ากิเลสทั้ง  3  อย่าง คือ  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  เป็นนายของจิต คอยสั่งจิตให้แสดงออกมาทางวาจา  ทางกาย ให้ทำตามอำนาจของกิเลสข้อใดข้อหนึ่งที่ครอบงำจิตในขณะนั้น


ปัญญาเป็นนายของจิต
 
อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นฐานรองรับจิต

          ปัญญา คือ ความรอบรู้ ทั้งทางโลกและทางธรรม เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามนุษย์ เกิดมามีแต่ความทุกข์ เพราะมีกิเลสความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ครอบงำจิต  ผู้มีปัญญา ก็จะคอยระวังจิตไม่ให้เป็นทาสของกิเลส เช่น
 
เมื่อกิเลส ความโลภเกิดขึ้น  ปัญญาก็จะเตือนจิตไม่ให้ลุ่มหลง มัวเมา กับลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข  และรูป เสียง กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์  ปัญญาชี้ให้เห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอน  มี การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ มีความทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ต้องสูญสลายไปตามกาลเวลา  ทุกอย่างไม่ใช่ของเราและไม่ใช่ของใคร เพราะเมื่อตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลย  ควร แบ่งปันทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ให้ทานกับผู้ที่ควรให้

เมื่อจิตคิดได้ดังนี้แล้ว ความโลภก็จะคลายลงแล้วปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตอยู่ เสมอ ๆ ความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ  ก็จะหมดไปในที่สุด นี่คือปัญญา เป็นนายของจิตที่ถูกความโลภครอบงำ

          เมื่อกิเลส  ความโกรธเกิดขึ้น  ปัญญาก็จะคอยอบรมสั่งสอนจิต  ไม่ให้โกรธ  เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์และสามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง  เช่น  คิดอาฆาตพยาบาท  ปองร้าย ทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น  ปัญญาก็จะนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอบรมสั่งสอนจิตให้เห็นโทษของความโกรธ  ให้มีความรัก ความสงสารต่อผู้อื่น ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความโกรธจะลดลง และหมดไปในที่สุด  นี่คือ ปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความโกรธครอบงำ

          เมื่อกิเลส  ความหลงเกิดขึ้น จิตก็จะเกิดความพอใจรักใคร่ลุ่มหลงมัวเมาในลาภ  ยศ  สรรเสริญ  สุข ในรูปเสียง กลิ่น  รส  สัมผัส  ธรรมารมณ์  เพราะความหลงเข้าใจผิดว่าทุก ๆ อย่างทำให้มีความสุข  ผู้ มีปัญญา รู้ว่าจิตถูกกิเลสครอบงำแล้ว ก็จะใช้ความรู้จากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ศึกษาและรู้ตาม นำมาสอนจิตให้คิดว่า สิ่งต่าง ๆ ที่จิตยึดมั่นถือมั่นนั้น  ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง  เป็นความพอใจที่เกิดจากกิเลสความหลง  แท้ที่จริงแล้วความสุขที่ได้รับนั้น  มันเป็นความสุขที่อิงอามิส  ซึ่งมีความทุกข์รวมอยู่ด้วย  เราจะทุกข์กับสิ่งต่าง ๆ เพราะไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน 

แม้ตัวเราเองก็ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  และจะต้องตายในที่สุด  เมื่อ จิตถูกปัญญาอบรมสั่งสอนให้เข้าใจ ว่ามีความรักสิ่งใด สิ่งนั้นต้องทำให้เกิดทุกข์ ก็จะคลายความทุกข์ลง และระวังไม่ให้กิเลสความหลงมาเป็นนายของจิตอีกต่อไป  ความทุกข์ที่เกิดจากความหลงก็จะหมดไป  นี่คือปัญญาเป็นนายของจิตที่ถูกความหลงครอบงำ
 

          เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า พลังแห่งปัญญาเป็นนายของจิต และพลังแห่งกิเลสก็เป็นนายของจิต เช่นกัน ส่วนกายนั้นเป็นบ่าวของจิตจริง เพราะทำตามคำสั่งของจิตเสมอ ไม่ว่าจิตนั้นจะอยู่ภายใต้ อำนาจของปัญญา หรือกิเลสก็ตาม บางครั้งจะเห็นได้ว่าจิตอยู่เฉย ๆ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีความดีใจ หรือเสียใจ ที่เรียกว่าอุเบกขาอารมณ์ เพราะจิตในขณะนั้นไม่ถูกปัญญาหรือกิเลสครอบงำ

          ขอทุกท่าน จงคิด พิจารณาว่า เมื่อเกิดมีสิ่งใดมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จิตจะคิดตามสิ่งที่มากระทบทันที ให้สำรวจดูว่าเรื่องที่จิตคิดในขณะนั้น เกิดจากอำนาจของกิเลสหรือปัญญา แท้ที่จริงแล้ว กิเลสและปัญญาต่างหากที่เป็นนายของจิตและกาย
 
ที่มา http://porjarearntum.igetweb.com/index.php?mo=3&art=335756
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว


คำว่า โรคทางใจ ในที่นี้ ใช้ในความหมายเดียวกันกับคำว่า โรคทางจิต

โรคทางจิต (เจตสิกโรค) คือ ภาวะทางจิตที่ยังมีกิเลส ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่าโรคทางจิต อันเป็นสาเหตุให้เกิดการรับรู้ที่คลาดเคลื่อนจากความจริง และเกิดความทุกข์แก่ชีวิต

วิปลาส คือ การรับรู้เชิงกำหนดหมาย การคิด และการเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากความจริง

ความสำคัญของใจเรา


แม้พุทธศาสนาจะเห็นว่ากายกับจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่กายกับจิตก็จัดว่าเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กัน อาศัยกันและกันอย่างที่จะจัดแยกออกจากกันไม่ได้ ดังข้อความในวิสุทธิมรรคที่ว่า ?รูปและนาม (กายและจิต) เป็นของคู่กัน ทั้งคู่อาศัยกันและกัน เมื่ออย่างหนึ่งแตกสลาย ก็ แตกสลายทั้งคู่ตามปัจจัย"

โดยทั้งจิตและกายก็ต่างทำหน้าที่อย่างสอดประสานกัน คือ หน้าที่ของกาย ได้ แก่ การทำหน้าที่เชื่อมต่อหรือ เป็นทางในการรับรู้โลกภายนอกผ่านทางอายตนะ และทำหน้าที่แสดงพฤติกรรมหรือการกระทำ ต่อโลกภายนอก แต่อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาถือว่า

?กายนั้นเป็นเพียงตัวเชื่อมต่อหรือเป็นทางให้จิตรับรู้ กายจึงไม่ได้เป็นสิ่งที่รู้ แต่สิ่งที่รู้คือ จิต จิตเป็นตัวรับรู้ ดังนั้น ถ้ามองในแง่นี้ กายก็เป็นเพียงเครื่องมือของจิตในการรับรู้อารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตหรือสิ่งที่ถูกรับรู้ อารมณ์ของจิตหรือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตนั้นก็คืออารมณ์ 6 หรืออายตนะภายนอก 6 อันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ(สิ่งต้องกาย) และธรรมารมณ์ (เรื่องในใจ) นั่นเอง
 

จิตจึงมีความสำคัญมาก นั่นคือ
?จิตเป็นมูลบท หรือเป็นแกนกลางที่สำคัญของคำสอนทั้งหมด จะเห็นได้ว่าคำสอนเรื่องต่างๆ เช่น คำสอนเกี่ยวกับความทุกข์หรือความสุขก็ตาม กุศลหรืออกุศลก็ตาม หรือที่เป็นฝักฝ่ายโลกียะ และโลกุตระเป็นต้น ก็ตาม เมื่อวิเคราะห์ถึงที่สุดแล้ว ทั้งหมดล้วนมีจิตเป็นแกนกลางหรือเป็นตัวกลางที่เป็นหลักยืนให้แก่ ธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สภาพธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล บุญหรือบาป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แต่จิต ถ้าไม่มีจิตเป็นฐานให้แล้ว ถ้าไม่มีจิตเป็นฐานให้แล้ว สภาพธรรมเหล่านั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ดังนั้น จิตหรือใจนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังข้อความที่ปรากฏต่างๆ ซึ่งยกมาเป็นตัวอย่างพอสังเขป คือ

ความสำคัญของจิตในทัศนะของ พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)

??ถ้าเรามีจิตใจไม่ถูกปรุงแต่ง ก็เรียกว่าเรามีจิตเป็นพุทธะขึ้นมา เป็นผู้รู้ขึ้นมาทันที รู้อะไรถูกต้องขึ้นมาแล้ว ก็เป็นตัวเองอย่างแท้จริง?ไม่ถูกฉาบด้วยกิเลส เรียกว่าไม่ถูกปรุงแต่ง??
(พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)


??คนเรามีแต่ร่างกายแล้วจะเป็นอยู่ได้เมื่อไหร่? เราต้องมีใจด้วย เราจึงพูดว่ากายกับใจ รูปกับนาม รูปก็คือร่างกาย นามก็คือเรื่องใจ มันมี 2 เรื่อง 2 อย่าง ถ้า 2 อย่างนี้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง ชีวิตก็ดีขึ้น

แต่ถ้า 2 อย่างนี้อยู่ด้วยกันอย่างไม่ถูกต้อง ชีวิตก็ไม่ดีขึ้น คือ มีแต่ร่างกาย แต่ไม่มีใจ ใจที่ไม่มีธรรมะ ก็เหมือนกับไม่มีชีวิตชีวา เป็นอะไรที่เขาเรียกว่าเป็นศพเดินได้ แล้วก็ไม่เดินเปล่านะ เดินไปสร้างปัญหาในสังคม ไปเที่ยวฉกชิงวิ่งราว ล้วงกระเป๋า อะไรของเขาไปตามเรื่องตามราว มันสร้างปัญหา?
(พระธรรมโกศาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ)

เนื้อหาในส่วนของเรื่อง จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว นี้ คัดเอาเนื้อหามาจากของวิทยานิพนธ์
เรื่อง "คำสอนเรื่องวิปลาสในพระพุทธศาสนาเถรวาท กับโรคทางจิต และสุขภาพจิต "
โดย ลลิดา พรหมสาขา ณ สกลนคร ซึ่งหยิบยกเอามาบางส่วน ผู้อ่าน
สามารถหาอ่านฉบับเต็มได้ที่สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ค่ะ

ที่มา http://www.patrunning.info/show.php?Category=board&No=10350
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
เคยได้ยิน ว่า  จิต เป็น นาย กาย เป็น บ่าว

แต่ถ้าหาก มีผู้กล่าวว่า จิต เป็น บ่าว กาย เป็น นาย

อย่างไหน จะถูกในคำกล่าวคร้า...

 :25:

ผมแค่คุยเป็นเพื่อนนะครับ น้องหมวยนีย์ ผมเห็นข้อความในเว็บ

www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=8915.0 กล่าวว่า

"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เป็นสัมมาทิฏฐิ

"จิตเป็นบ่าว กายเป็นนาย" เป็นมิจฉาทิฏฐิ


แต่รายละเอียดไม่ได้เข้าไปดู เพราะต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน

เอาเป็นว่า หากมีเหตุปัจจัยเหมาะสม จะหามาให้อ่านกัน

"บุญใดที่ผมพึ่งได้รับ ขอให้หมวยนีย์ได้รับเช่นกัน"
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ