ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เทพนิยาย 'จิ้งจอกสยาม' กับกฤดาภินิหารหลวงพ่อทองคำ  (อ่าน 920 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29413
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0








เทพนิยาย 'จิ้งจอกสยาม' กับกฤดาภินิหารหลวงพ่อทองคำ

การเถลิงอำนาจบนบัลลังก์แชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี ในรอบ 132 ปีของสโมสรฟุตบอล “เลสเตอร์ซิตี้” ถูกจัดเป็นหนึ่งในเทพนิยายแห่งยุคดิจิทัลไปแล้วอย่างปฏิเสธมิได้ นาทีนั้น ผ้ายันต์เลสเตอร์ของพระพรหมมังคลาจารย์ (ธงชัย ธมฺมธโช) หรือท่านเจ้าคุณธงชัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ก็ถูกจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความสำเร็จอันเหลือเชื่อ (Mission Impossible) เหนือความคาดหมายของใครต่อใครยิ่งนัก ในเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทีมจิ้งจอกสยามแห่งเมืองเลสเตอร์ ยังต้องดิ้นรนหนีการตกชั้นอย่างเฉียดฉิว แถมในทีมไม่มีนักเตะดาวดังมาเสริมทัพอย่างใครเขา แต่ที่สุดกลับคว้าแชมป์มาครองชนิดที่ทีมใหญ่ซึ่งมีเงินถุงเงินถัง อย่างเชลซี อาร์เซนอล แมนฯ ซิตี้ แมนฯ ยู ฯลฯ ยืนมองตาปริบๆ
 
หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ซึ่งโด่งดังอยู่แล้วจากที่ได้รับการบันทึกใน The Guinness Book of Records 1991 ว่าเป็น “ปูชนียวัตถุที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก” คือมีมูลค่าสูงถึง 21.1 ล้านปอนด์ (ณ เดือนเมษายน 2533 คำนวณตามราคาทองคำที่ 227 ปอนด์ต่อ fine ounce) ก็จะยิ่งโด่งดัง เมื่อใครต่อใครแห่กันมาวัดไตรมิตร เพื่อถามหา “ผ้ายันต์เลสเตอร์” ไปเสริมกำลังใจ และหากพวกเขาเหล่านั้นสนใจศึกษาความเป็นมาของพระพุทธรูปองค์นี้ ก็จะยิ่งฮึกเหิม ว่าคนเล็กๆ ทีมเล็กๆ สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ดั่ง “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เฉกเช่นหลวงพ่อทองคำ ที่กว่าจะมีคนเห็นท่านผุดผ่องด้วยเนื้อทองแวววาว ท่านก็เคยถูกห่อหุ้มด้วยปูนปั้นธรรมดา และเดียวดายในเพิงสังกะสีอันไร้สง่าราศีมาก่อนเช่นกัน

 
 :25: :25: :25: :25:

ถามว่าแล้วเหตุใด จึงต้องซ่อนหรือปกปิดท่านไว้จนมิดชิดขนาดนั้น สันนิษฐานแรกคือ สมัยขุนหลวงพะงั่วแห่งกรุงศรีอยุธยากรีธาทัพไปตีสุโขทัย ชาวสุโขทัยเกรงหลวงพ่อทองคำจะถูกอัญเชิญไป จึงพอกปูนอำพรางท่านไว้ หรือไม่ก็หลังจากผนวกสุโขทัยไว้ในอำนาจสำเร็จแล้ว ได้อัญเชิญหลวงพ่อทองคำมาประดิษฐานที่กรุงศรีอยุธยา แล้วต่อมา ชาวอยุธยาจึงพอกปูนอำพรางท่านไว้ เมื่อครั้งต้านทัพพม่า ก่อนจะเสียกรุงครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2310
 
กระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ห้วงยามแห่งการตั้งราชธานีใหม่ มีการสร้างและปฏิสังขรณ์วัดในกรุงเทพฯ หลายแห่ง จึงมีพระบรมราชโองการให้อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณที่ถูกทิ้งร้างอยู่ตามหัวเมืองทางเหนือ มาประดิษฐานตามวัดต่างๆ เป็นจำนวนนับพันองค์ โดยเฉพาะจากสุโขทัย แผ่นดินที่รังสรรค์พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นที่สุด ซึ่งรวมทั้งหลวงพ่อทองคำ แม้ยามนั้น ยังถูกเห็นเป็นพระปูนปั้นธรรมดา ทว่าก็ยังมีความงาม จึงได้รับการอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดพระยาไกร ย่านบางคอแหลม ในสมัยรัชกาลที่ 3 (ช่วงพ.ศ. 2367-2394) ก่อนจะถูกอัญเชิญไปวัดไตรมิตรวิทยาราม หรือวัดสามจีนใต้ ในพ.ศ.2478 แล้วเรียกขานท่านว่า “พระสุโขทัยไตรมิตร” ด้วยยังไม่มีใครรู้ว่าองค์จริงท่านเป็นทองล้ำเลอค่าเพียงใด
 

 st12 st12 st12 st12

แต่วัดไตรมิตร ยามนั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก โบสถ์และวิหารเก่าแก่จนไม่เหมาะกับการประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ต้องอัญเชิญพระปูนปั้นจากสุโขทัยไปประดิษฐานอยู่ข้างพระเจดีย์ ใต้เพิงสังกะสีเก่าคร่ำคร่า มีห้องแถวไม้โทรมๆ ตั้งอยู่รายรอบ เป็นที่อาศัยของคนทำเส้นบะหมี่ กับบรรดาหญิงงามเมือง มีฝูงเป็ดและหมูคุ้ยเขี่ยขยะส่งกลิ่นตลบอบอวล เป็นเวลานานถึง 20 ปีเต็ม

 



จนกระทั่ง 25 พฤษภาคม 2498 พระวีรธรรมมุนี ท่านเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร ทำพิธีอัญเชิญท่านจากเพิงสังกะสีขึ้นประดิษฐานบนพระวิหารทรงไทยจัตุรมุขที่สร้างขึ้นใหม่ แต่ไม่มีเครื่องมือดีพอจะเคลื่อนย้ายองค์พระขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมาก จนเย็นย่ำสนธยา ยกท่านขึ้นได้แค่คืบ เชือกก็ขาดสะบั้น องค์พระกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองโครมครืน การเคลื่อนย้ายต้องยุติลงโดยปริยาย
 
แล้วคืนนั้นเอง ท่านเจ้าคุณพระวีรธรรมมุนีนิมิตว่า มีกุลสตรีสูงศักดิ์แต่งร่างอย่างนางกษัตริย์ด้วยอาภรณ์เหมือนภาพเขียนสมัยสุโขทัย ประคองพานใส่สังวาลเพชรมาถวายท่านที่กุฏิ “อาตมาภาพรับไว้ไม่ได้ ไม่ใช่ของสำหรับสมณะ โยมมอบแก่ลูกหลานของโยมไว้ใช้เถิด” ท่านปฏิเสธ แต่นางย้ำว่า "ตัดสินใจแล้วว่าจะถวายแก่ท่านเจ้าคุณ ขอท่านรับไว้เถิด สังวาลนี้เป็นของดีและมีค่ามากนะเจ้าคะ” แล้วนางก็ลับหายไป มิไยดีว่าท่านเจ้าคุณจะพยายามส่งเสียงเรียกเพียงใด ก่อนที่ท่านเจ้าคุณจะสะดุ้งตื่นเมื่อเวลาใกล้รุ่ง แล้วตัดสินใจเดินฝ่าละอองฝนมาที่หลวงพ่อปูนปั้น แล้วพลันต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นชัดว่าปูนตรงพระอุระแตกกะเทาะจนเห็นรักปิดทองอยู่ชั้นหนึ่ง ครั้นเมื่อเรียกพระเณรมาช่วยกันกะเทาะปูนที่ิหุ้มองค์พระออกจนหมด จึงเห็นเป็นทองเปล่งประกายอร่ามจับตา

 
 ans1 ans1 ans1 ans1

“ได้ฟังท่านเจ้าคุณเล่าแล้วข้าพเจ้าขนลุกซู่ทั้งกาย ใจประวัติไปถึง “พระพุทธรูปทอง” ในศิลาจารึกอีกองค์นี้ใช่หรือไม่หนอ? ที่หายไปจากวัดมหาธาตุกรุงสุโขทัย หาไม่พบมาตั้งหลายร้อยปี? นายฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ โบราณคดี ผู้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในบทความ “ประวัติของหลวงพ่อทองคำ” ระบุว่าท่านสันนิษฐานว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชโปรดให้หล่อพระทองคำขึ้น แล้วจึงสร้างพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุขึ้นกลางกรุงสุโขทัย เป็นที่ประดิษฐาน ดังศิลาจารึกหลักที่ 1 ว่า “กลางเมืองสุโขทัยนี้มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูปอันใหญ่ มีพระพุทธรูปอันราม”
 
ปัจจุบัน พระสุโขทัยไตรมิตร หรือ “หลวงพ่อทองคำ” มีนามพระราชทานว่า “พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร” พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย สร้างด้วยทองคำ ชนิด “ทองเนื้อเจ็ด น้ำสองขา” น้ำหนักราวห้าตันครึ่ง ประดิษฐานอยู่ในพระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา วัดไตรมิตรวิทยาราม

 
 st11 st11 st11 st11

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ระหว่างประดิษฐานใต้เพิงสังกะสีซอมซ่อนาน 20 ปี มีผู้มาเจรจาขอท่านไปเป็นพระประธานวัดหลายแห่ง แต่ต้องมีเหตุติดขัดเพราะไม่มีค่าพาหนะขนย้ายบ้าง องค์พระสูงกว่าสะพานรถไฟ จนอัญเชิญไปไม่ได้บ้าง และถูกตำหนิว่าพุทธลักษณะ (ตอนมีปูนหุ้ม) ไม่เหมาะจะเป็นพระประธานบ้าง ราวกับโชคชะตาฟ้าลิขิตไว้แล้ว ว่าท่านต้องประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรมิตรวิทยารามแห่งนี้เท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับ “จิ้งจอกสยาม - เลสเตอร์ซิตี้” ที่สร้างเทพนิยายลือลั่นให้คนลือกันสนั่นโลก..ในวันนี้

 
 
ท่องไปกับใจตน : เทพนิยาย 'จิ้งจอกสยาม' กับกฤดาภินิหารหลวงพ่อทองคำ : โดย...ธีรภาพ โลหิตกุล teeraparb108smile@gmail.com)
http://www.komchadluek.net/detail/20160508/227214.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ