กาลที่พระศรีอาริยเมตไตยจะลงมาโปรดสัตว์
เมื่อพระมาลัยเถระได้สดับคำวิสัชนาของพระมหาโพธิสัตว์ตรัสถึงชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยของพระองค์แล้วก็ มีใจสงสัยด้วยว่ายังไม่กำหนดกาลเวลาว่าจะลงมาโปรดสัตว์เมื่อใด จึงปุจฉาไปดังนี้ว่า ดูกรมหาบพิตร อาตมภาพได้สดับตามที่พระองค์ทรงเล่ามายังกำหนดไม่ได้ว่าพระองค์จะลงไปโปรดมนุษย์เมื่อใด
สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตยจึงตอบไปดังนี้ว่า " ดูกรพระคุณเจ้า ก็ตอนที่ข้าวสาลีเม็ดเดียวบังเกิดเป็นข้าวสารร้อยเจ็ดสิบเม็ด จุเต็มสองเล่มเกวียนกับสิบหกสัดใหญ่ ๆ เท่ากับสองกระบุงเมื่อใด ก็เมื่อนั้นแลพระคุณเจ้าที่ข้าพระองค์จะลงไปเกิดในโลกมนุษย์ โดยครั้งแรกจะเป็นมนุษย์ธรรมดาก่อน
กระทำสัตตสดกมหาทานบริจาคลูกเมียเป็นทานเหมือนพระเวสสันดรก่อน แล้วจะกลับขึ้นมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตสิ้นระยะหนึ่ง จนถึงเมื่อสัตว์ทั้งหลายมีอายุไขยน้อยลงไปจากอสงไขยเหลือเพียงแปดหมื่นปี ชมพูทวีปนี้กลับบริบูรณ์มีเม็ดข้าวสาลีเพียงเม็ดเดียวแต่ให้ผลมากมายดังก่อน ก็ตอนนั้นแลข้าพระองค์จะลงไปบังเกิดในโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยเหล่าเทพยดาในหมื่นจักรวาลมีท้าวมหาพรหมเป็นประธานมาอัญเชิญให้ไปจุติ
***การกระทำสัตตสดกมหาทาน คือการบริจาคสิ่งของเป็นทานเจ็ดอย่าง อย่างละ ๗๐๐ มี
๑. ช้าง ๗๐๐ ตัว ๒. ม้าอาชาไนย ๗๐๐ ตัว ๓. โคนม ๗๐๐ ตัว ๔. ทาสหญิง ๗๐๐ คน ๕. ทาสชาย ๗๐๐ คน ๖. ราชรถ ๗๐๐ คัน ๗. นางสนม(หญิงผู้ดีมีสกุล) ๗๐๐ นาง
อ่านว่า สัต-ตะ-สะ-ดก-มะ-หา-ทาน มาจากคำว่า สัตตะที่แปลว่า เจ็ด สดก มาจากคำว่า สตกะ ที่แปลว่า ๑๐๐ อีกคำหนึ่งอ่านว่า ปิ-ยะ-ปุต-ตะ-ทา-ระ-ทาน ปิยะแปลว่า ผู้เป็นที่รัก ปุตตะ แปลว่า ลูก ทาระ แปลว่าเมีย***
เมื่อข้าพระองค์นี้ได้สดับรับฟังคำอัญเชิญของเทพยดาทั้งหลาย ก็จะใช้ทิพยญาณเล็งเห็นโลกด้วยเหตุห้าประการ คือ กาลอันเหมาะสม ๑ ประเทศที่เหมาะสม ๑ ทวีที่เหมาะสม ๑ ตระกูลมารดาที่เหมาะสม ๑ แลสัตว์ทั้งหลายอีก ๑ ตามเยี่ยงอย่างพระบรมโพธิสัตว์แต่ก่อนมาพิจารณาตามธรรมเนียมประเพณีก่อนที่ จะมาจุติ ด้วยที่พิจารณาดูกาลอายุสัตว์ในครั้งนั้นว่าไม่มากกว่าแสนปีขึ้นไป ไม่น้อยกว่าร้อยปีลงมา เพราะถ้าสัตว์มีอายุมากกว่าแสนปี ก็ความแก่ความตายนี้จะไม่ค่อยบังเกิดปรากฏให้เห็น สรรพสัตว์ฟังพระธรรมเทศนาแล้วไม่เห็นว่าสังขารเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแต่อย่างใดก็จะไม่เชื่อถือในพระสัจธรรม มรรคผลก็จะไม่บังเกิดขึ้น พระธรรมเทศนาก็จะไร้ประโยชน์
อีกประการหนึ่งถ้าสัตว์อายุน้อยกว่าร้อยปีลงมาก็หาเป็นการสมควรที่พระ พุทธเจ้าจะลงไปตรัสรู้ไม่ เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายพวกนี้ยังมีกิเลสหนากล้านักจักรับโอวาทเพียงต่อหน้า ลับหลังมาก็จะพากันละทิ้งเสียไม่ผิดอะไรกับขีดรอยในน้ำก็จะกลับคืนดังเก่า ดังนั้นเล่ากาลที่เหมาะสมสำหรับการไปตรัสรู้จึงอยู่ในระหว่างแสนปีลงมาและ มากกว่าร้อยปีขึ้นไป
ประการที่สองก็คือพิจารณาทวีปใหญ่ทั้งสี่มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารนั้นก็ เห็นว่าโดยพุทธประเพณีอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะมีพระประสูติกาลทุกพระองค์ นั้นจะไปบังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียวอันเป็นมัชฌิมประเทศที่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอสีติมหาสาวก พระเจ้าจักรพรรดิราช แลชนผู้มีบุญญาธิการมากมักลงมาเกิดเป็นส่วนมาก
ประการที่สามพิจารณาประเทศอันเป็นสถานที่กำเนิด ในครั้งนั้นกรุงพาราณสีจะมีชื่อนครว่ามัณฑารนคร กว้างใหญ่ได้สิบสองโยชน์พวกมนุษย์ถอยถดอายุจากอสงไขยด้วยความประมาทเหลือเพียงแปดหมื่นปี แลกรุงมัณฑารนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เกตุมบดีนคร จักบริบูรณ์สถาพรด้วยวัตถุสิ่งของทั้งปวง จึงควรที่จะบังเกิดในกรุงเกตุมบดีนครนี้
ประการที่สี่พิจารณาถึงตระกูลอันสมควรตามประเพณีที่สมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง หลายย่อมไปบังเกิดในตระกูลอันชาวโลกนับถือ คือตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ตามที่เคยมีมา ก็ตอนนั้นแลถือกันว่าตระกูลพราหมณ์ประเสริฐเลิศที่สุด จึงสมควรที่จะลงไปบังเกิดในตระกูลพราหมณ์ซึ่งเป็นปุโรหิตผู้ใหญ่ของพระเจ้า สังขจักร
ประการที่ห้าสุดท้ายพิจารณาว่าผู้ใดควรจะเป็นพุทธบิดาพุทธมารดาที่บำเพ็ญบารมีนับเนื่องกัน ก็รู้ว่าสุพรหมพราหมณ์นั้นควรเป็นพุทธมารดา นางเหมวดีพราหมณีควรที่จะเป็นพุทธมารดา ขอรับพระคุณเจ้า ส่วนนางอนุลาเทวีเป็นคู่สร้างบารมีของข้าพระองค์จะได้เป็นอัครมเหสีมีนามว่า นางจันทมุขี โอรสคือเจ้าสาลีพระโอรสแห่งพระเจ้าอภัยทุฏฐคามินีสร้างบารมีร่วมกันมาจะได้เป็นโอรสมีนามว่า พรหมวดีกุมาร
กาลที่ข้าพระองค์จะออกผนวชนั้นจะมีเทวฑูตสำแดงบุพนิมิต ๔ ประการ คือคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แลนักบวช ปราสาทที่อยู่ของข้าพระองค์จักลอยไปกลางอากาศ เมื่อข้าพระองค์ผนวชแล้วบำเพ็ญเพียรประมาณเจ็ดวันตกวันที่เจ็ดจะไปนั่งที่ ควงไม้กากะทิงแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อโปรดสัตว์ ขอรับพระคุณเจ้า "
ครั้นพระบรมโพธิสัตว์ตรัสมาถึงตรงนี้ก็มีพระราชดำรัสอันเป็นปัจฉิมสมัยว่า " ข้าแต่พระคุณเจ้า ครั้นเมื่อกลับไปยังโลกมนุษย์แล้วจงบอกแก่ชาวชมพูทวีปด้วยว่า อย่าได้สร้างเวรทั้งห้า คืออย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าคิดหรือลักขโมยข้าวของเงินทอง อย่าล่วงหรือปองผิดประเวณีลูกเมียผู้อื่น อย่าได้ฝืนกล่าวลวงโป้ปดมดเท็จ อย่าได้เสพสุราเมรัย ให้สมาทานในพระอุโบสถศีล ละเว้นอนันตริยกรรมทั้งห้าประการ ให้หมั่นสร้างกุศลผลทานแล้วจะได้พบพานศาสนาของข้าดังประสงค์ ขอพระคุณเจ้าจงสั่งสอนเขาดังนี้ตามที่ข้าพระองค์บอกเอาไว้เถิด ขอรับพระคุณเจ้า "
ครั้นเมื่อสั่งเสร็จองค์สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ก็นมัสการลาพระเถระ ลุกขึ้นกระทำอภิวาทประทักษิณพระเจดีจุฬามณีเจดีย์แล้วเสด็จกลับพร้อมด้วยเหล่าบริวาร เหาะลอยผ่านท้องฟ้าขึ้นสู่นภากาศตรงไปยังดุสิตพิภพอันเป็นที่อยู่ของพระองค์ ส่วนพระมาลัยก็ถวายพระพรลาพระอินทราธิราช ถวายอภิวาทนมัสการพระเจดีย์จุฬามณีกระทำประทักษิณสิ้นสามรอบแล้วจึงกลับลงมาสู่โลกมนุษย์ดังเดิม
ครั้นเมื่อวันต่อมาเวลาพระเถระออกโปรดสัตว์รับบิณฑบาตชาวบ้านกัมโพชคามตามปกติ ก็สั่งสอนชาวบุรีทั้งหลายตามที่ได้รับมอบหมายมาจากพระศรีอาริยเมตไตย ฝ่ายมหาชนทั้งหลายครั้รได้ฟังคำบอกเล่าของพระเถระก็ตั้งหน้ามุ่งมั่นในการทำบุญกุศลมากขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้นสิ้นบุญก็ได้ไปกำเนิดในสวรรค์โดยทั่วกันแล
http://www.larnbuddhism.com/pramarai/phar.14.html