ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สวดกี่จบก็คบได้  (อ่าน 855 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29307
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สวดกี่จบก็คบได้
« เมื่อ: กันยายน 17, 2016, 08:13:24 pm »
0
มนต์ : สวดกี่จบก็คบได้ | ท่าน ว. คลายความสงสัยเรื่องการสวดมนต์

ถาม : ดิฉันได้ยินได้ฟังมาว่า เวลา สวด อิติปิโสจะต้องท่องเท่ากับอายุ +1 แต่ดิฉันสวดไม่ถึง จะสวดได้คืนละ 9 รอบเกือบทุกคืน แบบนี้จะได้อานิสงส์เท่ากับสวดอายุ +1 หรือเปล่าคะ และดิฉันพยายามสวดคาถาชินบัญชรบทยาวเช่นกัน แต่ก็เป็นเหมือนคนอ่านหนังสือไม่ออกคือ จะเป็นลักษณะอ่านมากกว่าสวด ดิฉันก็เลยสวดบทย่อคืนละ 9 รอบเหมือนกัน อยากทราบว่าจะได้อานิสงส์เหมือนบทยาวไหมคะ

 ans1 ans1 ans1 ans1

ตอบ : สาระสำคัญของการ สวด มนต์แต่เดิมนั้นก็คือ การทบทวนหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะในสมัยโบราณนั้นยังไม่เน้นการเล่าเรียนโดยการอ่าน การเขียน การบันทึก วิธีการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมก็คือ การที่ครูบาอาจารย์ไปฟังมาจากพระพุทธเจ้าโดยตรง เมื่อฟังแล้วก็เพียรกำหนดจดจำเอาไว้ เมื่อกลับมายังที่พักหรือสำนักของตนก็นำมาถ่ายทอดต่อให้ลูกศิษย์ศิษยานุศิษย์ก็คอยฟังจากคำของครู แล้วกำหนดจดจำไว้ด้วยการท่องบ่นจนจำขึ้นใจพอจำขึ้นใจแล้ว วันต่อไปก็เรียนมนต์ (คำสอน) บทใหม่ต่อไป แต่ก่อนจะเรียนบทใหม่ก็ต้องทบทวนบทเก่าให้แม่นยำเสียก่อน

การเรียนพระธรรมคำสอนจากปากของครูบาอาจารย์โดยตรงนี้ เรียกว่า การศึกษาระบบ “มุขปาฐะ” (จากปากสู่ปาก) การทบทวนคำสอนเก่าก่อนเรียนคำสอนใหม่เรียกว่า “การต่อหนังสือ” เมื่อทำอยู่อย่างนี้จนเป็นกิจวัตร ต่อมาจึงพัฒนากลายเป็นการ สวด มนต์ และพอทำเป็นประจำจึงเรียกการสวดมนต์ว่า “การทำวัตรสวดมนต์”

 st12 st12 st12 st12

มนต์ที่เรานำมาสวดก็คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเองแต่ต่อมามีการประพันธ์พระธรรมคำสอนของพระองค์ให้อยู่ในรูปของฉันทลักษณ์ (กวีนิพนธ์) เพื่อให้สวดง่าย จำง่าย ภายหลังก็มีการประพันธ์มนต์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้สวดในงานต่างๆ หรือเพื่อหวังผลเป็นความสวัสดีมีชัย มนต์ที่แต่งเพิ่มเติมขึ้นมาภายหลังนี้ บางทีก็เรียกกันว่า “ปริตร” หรือ “พระปริตร” (แปลว่า เครื่องคุ้มครองป้องกัน)

การสวดมนต์ซึ่งแต่เดิมคือการเรียนพระธรรมคำสอน ค่อยๆ เลือนมาเป็นการสวดเพื่อทำเป็นศาสนกิจอย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าการทำวัตรสวดมนต์ และจากนั้นก็คลี่คลายมาเป็นการสวดมนต์เพื่อความสวัสดีมีชัย

มาถึงยุคของเรา การสวดมนต์มีความหมายแคบลงมาอีก กลายเป็นการสวดเพื่อเอาบุญบ้าง สวดเพื่อสะเดาะเคราะห์บ้าง สวดเพื่อหวังลาภลอย หรือสวดในฐานะเป็นคาถาสำหรับคุ้มครองป้องกันหรือทำให้ทำมาค้าคล่องบ้าง นี่ก็นับเป็นวิวัฒนาการของการสวดมนต์ที่ควรทราบไว้เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการเป็นชาวพุทธ อย่างน้อยก็จะได้ใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบว่า ทุกวันนี้เราสวดมนต์ด้วยท่าทีอย่างไร ห่างออกไปจากเป้าหมายเดิมแท้มากน้อยแค่ไหน

 :25: :25: :25: :25:

สำหรับคำถามที่คุณโยมถามมานั้น ขอตอบว่า การสวดมนต์ไม่ว่าจะเป็นบทอิติปิโส (สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย) ก็ดี บทชินบัญชรก็ดี ถ้าตั้งใจสวดจริงๆ แล้ว ไม่ว่าจะสวดสั้น สวดยาว สวดย่อ หรือสวดเต็ม ก็ได้บุญด้วยกันทั้งนั้น สาระสำคัญอยู่ที่ความตั้งใจเป็นหลัก ถ้าสวดอย่างมีสมาธิ บทเดียวก็ได้บุญมาก แต่ถ้าสวดแต่ปาก ทว่าใจฟุ้งซ่าน สวดยาวนานแค่ไหนก็คงได้บุญนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง

ดังนั้น ทุกๆ ครั้งที่สวดมนต์ไม่ควรไปยึดติดว่าเท่านั้นจบ เท่านี้จบเอาเป็นว่าสวดให้จบแต่ละบทด้วยความตั้งใจที่เต็มร้อย แม้เพียงบทเดียวก็นับว่าได้บุญอย่างยิ่งแล้ว และเหนืออื่นใด สิ่งที่ไม่ควรลืมทุกครั้งเวลาสวดมนต์ก็คือ ควรพยายามทำความเข้าใจด้วยเสมอไปวิธีง่ายๆ ก็คือ ควรหาบทสวดมนต์แปลมาฝึกสวดด้วย สวดไปทำความเข้าใจไป ถ้าทำอย่างนี้อยู่เสมอๆ วันหนึ่งการสวดมนต์ก็จะเป็นช่องทางให้บรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า การสวดมนต์นับเป็นช่องทางหนึ่งของการบรรลุธรรม กล่าวอย่างสั้นๆ ก็คือ “สวดเป็นก็เห็นธรรม”


 

ธรรมะจากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี : พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา
http://www.secret-thai.com/dhamma-daily/10851/30052559-2/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 17, 2016, 08:16:59 pm โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ