ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่าขาน "ตำนานพญาครุฑ" เรื่องที่ใครหลายคนยังไม่รู้  (อ่าน 1603 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

ภาพเขียนนารายณ์ทรงครุฑแบบอินเดีย

เล่าขาน "ตำนานพญาครุฑ" เรื่องที่ใครหลายคนยังไม่รู้

"ครุฑกับนาคเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะแม่ของครุฑกับนาคเป็นพี่น้องกัน" ประสาท ทองอร่าม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ครูมืด" ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทยจากกรมศิลปากร เกริ่นขึ้นในงานเล่าขาน "ตำนานพญาครุฑ" ทำให้ใครหลายคนที่นั่งฟังอยู่ใน "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" เกิดอาการครุ่นคิด เพราะถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันทำไมครุฑต้องจับนาคกินด้วย
       
       ท่ามกลางความสงสัย และอยากรู้คำตอบ "ครูมืด" ค่อยๆ เริ่มเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้น กระทั่งยาวไปจนถึงจุดแตกหักของครุฑกับนาคจนกลายเป็นศัตรูต่อกันตลอดกาล
       
       "พระทักษะปชาบดีได้ยกสิบสามนางให้พระกัศยปเทพบิดร ซึ่งธิดาสององค์ คือนางวินตา และนางกัทรุ แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน โดยนางกัทรุขอพรจากพระกัศยปให้มีบุตรเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตาขอพรให้มีบุตรเพียงสององค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าบุตรของนางกัทรุ นางกัทรุคลอดลูกออกมาเป็นไข่หนึ่งพันฟอง เมื่อเวลาผ่านไปห้าร้อยปีกก็บังเกิดเป็นนาคหนึ่งพันตัว ส่วนนางวินตา คลอดลูกเป็นไข่สองฟอง หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนานไข่ก็ยังไม่ฟักเป็นตัว นางวินตาจึงทุบไข่ใบแรก ปรากฏเป็นเทพมีเพียงครึ่งองค์ ไม่มีท่อนล่าง เนื่องจากเกิดก่อนกำหนดนามว่า อรุณเทพบุตร
       
       พระอรุณโกรธนางวินตาที่ทำให้ตนพิการ จึงสาปให้ต้องไปเป็นทาสนางกัทรุเป็นเวลาห้าร้อยปี แต่ก็บรรเทาคำสาปว่า หากนางวินตาสามารถทนรอไปอีกห้าร้อยปีจนไข่อีกฟองหนึ่งฟักเป็นตัว บุตรในไข่ใบที่สองจะช่วยนางให้พ้นคำสาป


ประสาท ทองอร่าม หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ครูมืด" ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมไทยจากกรมศิลปากร

        ต่อมานางวินตา และนางกัทรุแข่งพนันทายสีม้าเทียมรถทรงของพระอาทิตย์ โดยมีข้อแม้ว่าหากผู้ใดแพ้ต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง นางกัทรุใช้อุบายให้นาคผู้เป็นลูกเข้าไปแทรกอยู่ในรถขนม้า เพื่อให้สีเปลี่ยนไป นางวินตาจึงแพ้พนัน กลายเป็นทาสของนางกัทรุ
       
       หลังจากนั้นอีกห้าร้อยปี ไข่ใบที่สองก็แตกออกมาเป็นบุตรผู้มีกำลังมหาศาล มีรัศมีทองสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์นับร้อยเท่า มีศีรษะ จงอยปาก และปีกเหมือนนกอินทรี แต่ร่างกาย และแขนขาเหมือนมนุษย์มีนามว่า "เวนไตย" (แปลว่า เกิดจากนางวินตา)
       
       เมื่อพญาเวนไตยเติบโตขึ้น ทราบว่ามารดาตนต้องเป็นทาสของกัทรุเพราะแพ้อุบาย จึงขอไถ่ตัวนางวินตาจากเหล่านาค พวกนาคก็ยินยอม โดยมีข้อแม้ว่า พญาเวนไตยต้องไปเอาน้ำอมฤตที่พระอินทร์เก็บรักษาไว้บนสวรรค์มาให้พวกตน
       
       พญาเวนไตยตกลง โดยก่อนออกเดินทางได้ขอพรจากมารดา ซึ่งนางวินตาบอกว่า ระหว่างทางหากหิว ให้กินเฉพาะคนป่าเถื่อน (นิษาท) และห้ามทำอันตรายพวกพราหมณ์โดยเด็ดขาด พญาเวนไตยก็รับคำมารดา ระหว่างทางเมื่อเกิดความหิวก็จับพวกนิษาทกินเป็นอาหารแต่ก็ไม่อิ่ม จึงไปจับเต่า (วิภาวสุ) และช้าง (สุประตึกะ) ซึ่งเดิมเป็นอสูรพี่น้อง แต่เกิดความโลภแย่งสมบัติกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างสาปให้กลายเป็นเต่า และช้างที่มีขนาดใหญ่โตมาก



        พญาเวนไตยเอาปากคาบสัตว์ทั้งคู่บินไปเกาะกิ่งไทรที่มีความยาวถึงหนึ่งร้อยโยชน์ แต่กิ่งไทรทานน้ำหนักไม่ไหว หักลงมา พญาเวนไตยแลเห็นว่าบนกิ่งไทรมีพวกฤาษีแคระซึ่งเรียกว่า "พาลขิยะ" มีขนาดเท่านิ้วมือ จึงเอาเท้าจับกิ่งไทรบินพาไปวางไว้ที่เขาเหมกูฏ
       
       พวกฤๅษีเห็นว่า พญานกตนนี้มีจิตใจงดงาม จึงให้ชื่อว่า "ครุฑ" แปลว่าผู้รับภาระอันหนัก ทั้งยังให้พรว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใดให้สำเร็จตามประสงค์ และให้มีพละกำลังมหาศาล ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ จากนั้น พญาครุฑก็บินไปยังเทวโลก แต่เจอผู้รักษานำน้ำอมฤต นั่นก็คือ พระอินทร์จึงการเกิดสู้รบกัน แม้จะถูกสายฟ้าของพระอินทร์ฟาดได้แต่เพียงทำให้ขนของครุฑหลุดร่วงลงมาเพียงเส้นหนึ่งเท่านั้น
       
       เรื่องนี้พระนารายณ์ทราบดีว่า พญาครุฑไม่ได้เอาน้ำอมฤตมากินเอง แต่ต้องการจะไถ่ความเป็นทาสให้แก่ผู้เป็นแม่ จึงมอบน้ำอมฤต พร้อมกับให้พรแห่งความเป็นอมตะแม้ตัวพญาครุฑจะไม่ได้ดื่มกินก็ตาม พญาครุฑจึงให้สัจจะแก่พระรายณ์ว่า เรายอมเป็นพาหนะให้ทานให้ขับขี่เดินทางเวลาเสด็จไปยังที่ต่างๆ


ครุฑที่หัวเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙

        ด้วยเหตุนี้ ครุฑจึงมีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า "สุบรรณ" ซึ่งหมายถึง "ขนวิเศษ" และนั่นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมพระนารายณ์ทรงสุบรรณ
       
       เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ เมื่อมอบน้ำอมฤตไปให้พญานาคแล้ว พระนารายณ์ทรงเน้นย้ำให้รีบฉวยนำกลับมา อย่าให้พวกพญานาคได้ เพราะถ้าได้ดื่มกินแล้วจะยิ่งเหิมเกริม ไม่เกรงกลัวใคร ดังนั้น เมื่อพญานาคไถ่ความเป็นทาสให้แม่ได้แล้ว พระอินทร์จึงขโมยกลับไป พวกพญานาครู้ว่าไม่มีน้ำอมฤตแล้ว มีแต่หยดน้ำค้างตามหญ้าคาจึงใช้ลิ้นเลียกระทัั่งถูกบาดเป็นลิ้นสองแฉก ทำให้ครุฑกับนาคจึงกลายเป็นศัตรูต่อกันตลอดกาล"
       
       ทั้งนี้ ตำนานดังกล่าว "ครูมืด" เผยให้ฟังด้วยว่า ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตารของพระนารายณ์
       
       ดังนั้น ครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์จึงนำมาใช้เป็นตราแผ่นดินเรียกว่า "ตราพระครุฑพ่าห์" ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสมัยอยุธยาและสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ส่วนในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ครุฑถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายประดับบนธงเรียกว่า "ธงมหาราช" ซึ่งจะถูกชักขึ้น ณ ที่ที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับ
       
       ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ตราอาร์มแทนตราแผ่นดินในระยะหนึ่ง ต่อมาทรงดำริว่าตราอาร์มมีความเป็นตะวันตกมากเกินไป จึงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนมาใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์อีกครั้งหนึ่ง และมีราชประสงค์ให้ใช้พระครุฑพ่าห์นี้เป็นตราแผ่นดินสืบไป


พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์
       
ครุฑบนผ้าทิพย์และเขนยอิงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
       

        พระครุฑพ่าห์ยังถูกใช้เป็นตราประจำสถานที่ราชการต่างๆ ของรัฐบาลไทย ใช้พิมพ์บนหัวหนังสือเอกสารทางราชการต่างๆ และเป็นตราประทับของหนังสือที่ออกโดยกรมกองต่างๆ ทั้งนี้บริษัท หรือห้างร้านที่จดทะเบียนตามกฎหมาย เคยติดต่อกับราชสำนัก ประกอบการค้าโดยสุจริต มีความมั่งคง และน่าเชื่อถือ ก็อาจได้รับพระบรมราชานุญาตตราตั้ง หรือตราครุฑพระราชทานประดับไว้ที่ห้างร้านของตนตามแต่จะทรงพระกรุณาเห็นสมควร
       
       หากใครอยากตามรอยพญาครุฑ และพญานาค ระยะทางเพียง 30 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ ก็จะถึงนิคมอุตสาหกรรรมบางปู จ.สมุทรปราการ อันเป็นทีตั้งของศูนย์ฝึกอบรมธนาคารธนชาต และ "พิพิธภัณฑ์ครุฑ" ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกและแห่งเดียวในโลก จัดสร้างขึ้นจากแนวความคิดของผู้บริหารธนาคารธนชาตที่ต้องการส่งผ่านความเคารพและความรู้ในองค์ครุฑที่มีความสำคัญปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งพระเจ้าแผ่นดิน และตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อ ความศรัทธาของคนไทยที่มีต่อองค์ครุฑ
       
       ปัจจุบันได้รวบรวมองค์ครุฑจากสาขาของธนาคารนครหลวงไทยทั่วประเทศ ซึ่งพบองค์ครุฑเก่าแก่ที่แกะสลักจากไม้สักทั้งสิ้น 40 องค์ องค์แรกคือองค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่สาขาราชดำเนิน เป็นองค์ที่แกะสลักจากไม้สักอายุเก่าแก่ ซึ่งยังมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ในปัจจุบันองค์ครุฑจะทำจากไฟเบอร์ ซึ่งมีทั้งเก่าและใหม่ผสมกัน และมีด้วยกันหลากหลายแบบ สะท้อนถึงศิลปะตามพื้นที่ อย่างเช่นองค์ที่เยาวราชก็จะมีหน้าตาที่แสดงถึงความเป็นจีน

       

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9590000120236
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

PRAMOTE(aaaa)

  • ศิษย์ตรง
  • โยคาวจรผล
  • *****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 3598
  • ความศรัทธาคือเชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สาธุ ครับ

  สำหรับท่านที่นำความรู้มาใหอ่าน
บันทึกการเข้า
การมีกัลยาณมิตร ครูบาอาจารย์ ที่สั่งสอนธรรม เป็นเรื่องที่ดี
..เชื่อเรื่องการตรัสรู้ธรรม ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
...และเชื่อในพระธรรมที่เป็นตัวแทนของพระศาสดา

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • *
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7283
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
 st12 like1
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ