ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: งดใส่บาตรอาหารสร้างบาป ลดเค็มพระสุขภาพดีได้บุญ  (อ่าน 1008 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29438
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



งดใส่บาตรอาหารสร้างบาป ลดเค็มพระสุขภาพดีได้บุญ

พระสงฆ์มีแนวโน้มป่วยเป็นภาวะความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น ในโอกาส “วันอาสาฬบูชา” นี้จึงเริ่มต้นถวายอาหารไม่เค็ม-หวานจัด โดยงดอาหารแห้งเพื่อได้บุญอย่างแท้จริง

ในโอกาส “วันอาสาฬหบูชา” ของปี 2560 นี้ตรงกับวันที่ 8 ก.ค. ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมเทศนา หรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จนพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่าในวันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์ 3 บริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์



สำหรับกิจกรรมที่ชาวพุทธนิยมปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นประเพณีช้านานนั่นคือ “การทำบุญ ตักบาตร” ที่ปัจจุบันยังคงปฏิบัติกันอยู่ แต่มีวาระพิเศษเพิ่มในเรื่องของถวายอาหารคาวหวานเพื่อสุขภาพของ พระสงฆ์ เนื่องจากปัจจุบันมีพระสงฆ์จำนวนมากเจ็บป่วยด้วย “โรคเรื้อรัง” หรือ “NCDS” มากขึ้น โดยเฉพาะโรคหัวใจและหลอดเลือด จึงได้มีการรณรงค์ให้ลดอาหารปรุงสุกประเภทไขมัน กะทิ อย่างเช่น แกงเขียวหวาน พะโล้ ฯลฯ

แต่ยังมีอีกโรคหนึ่งที่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงและพระสงฆ์มีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้น นั่นคือ “ภาวะความดันโลหิตสูง” ซึ่งสังคมไทยในปัจจุบันมีประชาชนป่วยด้วย “โรคความดันโลหิตสูง” ตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มสูงขึ้นในช่วง10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไตวายเพิ่มขึ้นอย่างมาก และพบว่าการสูญเสียสุขภาวะจากโรคเรื้อรังคิดเป็น 50% ซึ่งสูงกว่าโรคติดต่อถึง 3 เท่า!!

 :96: :96: :96: :96:

นท.พญ.วรวรรณ ชัยลิมปมนตรี เลขาธิการเครือข่ายลดบริโภคเค็ม อธิบายว่าคนไทยได้รับเกลือเฉลี่ยจากการรับประทานอาหาร 10.8 กรัมต่อวันต่อคน คิดเป็นปริมาณเกลือโซเดียมที่ได้มากถึง 4,351.69 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยได้รับเกลือในปริมาณที่มากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวันเกือบ 2 เท่า

โดยใน 8 กรัมของเกลือนั้นมาจากเครื่องปรุงรส 2 กรัมของเกลือมาจากธรรมชาติของอาหาร 0.8 กรัมของเกลือมาจากอาหารข้างทาง หาบเร่ อาหารกินเล่น ซึ่งการที่ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณที่สูงทำให้เกิด “ภาวะความดันโลหิตสูง” นอกจากนั้นยังทำให้เกิด “ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายหนา” และเกิดการสะสมของผังพืดในกล้ามเนื้อหัวใจ และหลอดเลือด



และยังมีผลกระทบโดยตรงต่อ “ไต” ซึ่งเป็นอวัยวะหลักที่ทำหน้าที่กำจัดโซเดียม โดยทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นจากการทำงานหนักและโปรตีนรั่วในปัสสาวะ และความเสื่อมนั้นจะคงอยู่ตลอดไปแม้จะมีการลดปริมาณโซเดียมลงในภายหลัง ล้วนแต่มีสาเหตุจากการได้รับเกลือและโซเดียมปริมาณสูง ดังนั้นการลดความดันโลหิตและโปรตีนในปัสสาวะ จะช่วยป้องกันลดการสูญเสียการทำงานของไตและภาวะแทรกซ้อนเป็นบ่อเกิดของโรคหัวใจและหลอดเลือด

การบริโภคเกลือและโซเดียมในปริมาณสูงก่อให้เกิด “ภาวะความดันโลหิตสูง” ยังเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดและเพิ่มความรุนแรงของโรคเบาหวาน ซึ่งจัดเป็นปัญหา “โรคเรื้อรัง” ที่กำลังก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก เนื่องจากเป็นสาเหตุของการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควร เกิดการขาดงาน ขาดประสิทธิภาพขณะทำงาน เกิดความพิการ สูญเสียโอกาสในการถูกจ้างงานเนื่องจากการเจ็บป่วย และยังรวมถึงภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลอีกด้วย

 st12 st12 st12

ดังนั้นเนื่องในโอกาสวันอาสาฬบูชาทางเครือข่ายเครือข่ายลดบริโภคเค็ม จึงขอใช้โอกาสนี้รณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปที่จะทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ให้ระมัดระวังเรื่องการใส่บาตรพระ โดยเฉพาะอาหารที่จัดถวาย ควรเป็นอาหารที่ปรุงรสให้พอดี ไม่เค็มจัดหรือหวานจัดจนเกินไป โดยอาหารที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษประกอบด้วย อาหารแห้ง เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แหนมและปลากระป๋อง

“วันอาสาฬบูชา” ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ “การทำบุญ ตักบาตร” ที่นอกจากจะได้บุญได้กุศลแล้ว พระสงฆ์ก็ยังจะมีสุขภาพที่ดี เจริญกิจของสงฆ์อย่างเป็นปกติสุขปราศจากโรคและภัย



คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “ชญานิษฐ คงเดชศักดา”
ขอบคุณบทความจาก : https://www.dailynews.co.th/article/584007
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ