ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อานิสงส์แรงกล้า หลวงพ่อฤาษีลิงดำยืนยันบริจาคร่างกายและดวงตา เกิดชาติหน้าตาไม่บอด  (อ่าน 1452 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



อานิสงส์แรงกล้า!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำยืนยัน..บริจาคร่างกายและดวงตา เกิดชาติหน้า..ตาไม่บอดแน่นอน เพราะอานิสงส์อุทิศดวงตาเป็นทานบารมี !!

การบริจาคร่างกายและอวัยวะ เป็นการให้เรียกว่า "ทาน" คือ การให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ และมีความสุข การบริจาคจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญของพุทธศาสนา โดยเฉพาะในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเรียกว่า "ทานบารมี" นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นความดีที่จำเป็นต้องทำเลยทีเดียว เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณ ต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจในการเสียสละเพื่อความดี

@@@@@@

สำหรับทานที่เป็นบารมี แบ่งได้เป็น ๓ ขั้น

 -  ทานบารมี  ระดับสามัญ คือการบริจาคทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ถึงจะมากมายแค่ไหนก็อยู่ในระดับนี้
 -  ทานอุปบารมี  คือทานบารมีระดับรองหรือจวนสูงสุด ได้แก่ ความเสียสละทำความดีถึงขั้นสามารถบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
 -  ทานปรมัตถบารมี  คือทานบารมีขึ้นสูงสุด ได้แก่ การบริจาคชีวิต เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือเพื่อรักษาธรรม

@@@@@@

จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ได้อธิบายและตอบปัญหาธรรมไว้ว่า

ผู้ถาม : "ถ้าเราจะไม่เกิดอีกแล้ว และเราอุทิศดวงตาให้สภากาชาด แต่ถ้าบางทีเราไม่ถึงซึ่งพระนิพพานและเราต้องมาเกิดอีก อยากทราบว่า ตาเราจะบอดหรือไม่ ?

หลวงพ่อ : "บอดแน่ๆ เลย เสร็จ..ไม่มีตาดูน่ะซิ"

ผู้ถาม : "ก็นั่นนะซิครับ กลัวจังเลยว่าจะไม่มีตาดู"

หลวงพ่อ : "ต้องตอบว่า ตาจะแจ่มใสดีกว่าตาเดิม เพราะอานิสงส์อุทิศลูกตาเป็นทาน ไม่ใช่ตาบอดนะ"

ผู้ถาม : "ลูกเคยตั้งใจไว้ว่า การบริจาคดวงตาและร่างกายเมื่อหลังจากตายแล้ว จะได้ประโยชน์ หลวงพ่อว่าดีไหมคะ…?"

หลวงพ่อ : "บุญน้อยไปให้เมื่อตายแล้ว ต้องให้เมื่อเป็น"

ผู้ถาม : "ก็ตาบอดซิคะ"

หลวงพ่อ : "ใส่ตาใหม่ ใส่ตาแก้วมันสวยกว่าตาเก่า ตาใสแจ๋วแต่มองอะไรไม่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็นพระเวสสันดรไงล่ะ เขามาขอของภายนอกก็คิดว่า ทำไมไม่ขอดวงหทัย ทำไมไม่ขอดวงตา ทำไมไม่ขอแขนซ้ายแขนขวา ถ้าขอดวงตาเราจะควักให้ ขอแขนซ้ายจะตัดให้ ขอแขนขวาจะตัดให้ เป็นต้น แต่ว่าการตั้งใจแบบนั้นก็เป็นกุศลนะ กุศลย่อมเกิดตั้งแต่เริ่มคิด ตัดสินใจว่าจะให้ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญแน่ แต่สงสัยซิ ไปเกิดใหม่ตาจะโบ๋ เพราะมีคนสงสัยหลายคนมาถาม"




ผู้ถาม : "แล้วจริง ๆ โบ๋ไหมครับ"

หลวงพ่อ : "ไม่โบ๋ เพราะไปเกิดใหม่ ไม่ได้เอาตาดวงเก่าไปด้วย กายเก่าไม่ได้ไป เกิดใหม่ก็อาศัยบุญใหม่ การเกิดนี่ต้องมีบุญนะ คนไม่มีบุญเลยเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีบุญช่วยให้เกิด แต่ว่าต้องสร้างกายใหม่ ไม่ใช่กายเก่า แต่ว่าตามหลักของการปฏิบัติท่านบอกว่า ถ้าคนเจริญสมาธิจิตอยู่ คือทรงสมาธิเวลาตาย ถ้าจิตออกทางตา ตาทิพย์ จิตออกทางหู หูทิพย์ จิตออกทางปาก ปากทิพย์ จิตออกทางจมูก จมูกทิพย์ ถ้าจิตออกมือ มือทิพย์ ออกทางหน้าท้อง ถ้าท้องทิพย์ละแย่เลย"

ผู้ถาม : "ทำไมหรือครับ…?"

หลวงพ่อ : "เลี้ยงไม่อิ่มนะซิ"

ผู้ถาม : "อ๋อ…" (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : "คำว่า "ทิพย์" หมายความว่าเกิดประโยชน์แก่สายนั้น ตาดี อาจจะได้ทิพจักขุญาณ หรือว่าเป็นคนที่มีหูดีไวเป็นพิเศษ แก่เฒ่ามากแล้วคนอื่นเขาหูตึง เราก็ไม่ตึงไม่พร่า ปากดี พูดแล้วคนอื่นชอบฟัง เกิดประโยชน์จากปาก อย่างนี้เป็นต้น"

ผู้ถาม : "แล้วที่บอกว่ากายทิพย์ออกจากร่าง ความจริงออกทางไหนครับ…?"

หลวงพ่อ : "ที่เขาฝึกเอากายออกไปใช่ไหม…?"

ผู้ถาม :- "ครับ"

หลวงพ่อ : "ไม่ต้องหาช่องละนั่นไปเลย เวลาออกแบบนั้น ก็เหมือนกับเข้านั่นแหละ เข้าไม่เลือกช่อง ออกก็ไม่เลือกช่อง เพราะเป็นนามธรรม อย่างกลางคืนเรานอนอยู่ห้องแคบ ๆ ถ้าผีมาหรือเทวดามาตั้งพัน เราก็เห็นได้ แต่ไม่มีห้องกั้น เพราะว่าสภาพเป็นทิพย์"

@@@@@@

ผู้ถาม :"ทีนี้ก็มีคนคนหนึ่งได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าตายแล้ว ขออุทิศศพให้โรงพยาบาล ทีนี้ลูกหลานก็ไม่สบายใจ เพราะถ้าอุทิศให้โรงพยาบาลแล้ว กลัวพ่อจะไม่ไปผุดไปเกิดเพราะไม่ได้เผาศพ หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ…?"

หลวงพ่อ : "ความจริงถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลานฉันจะดีใจมาก ไม่ต้องเปลืองเงินทำศพ มีผลเท่ากันนะ พอตายลงไปปั๊บ ไอ้จิตนี่มันก็ไปตามสภาพตามกฎของกรรมอยู่แล้ว มันไม่อยู่หรอก มันไม่มานั่งห่วงซากศพ ไอ้ที่ว่านั่นห่วงซากศพน่ะไม่จริง"

ผู้ถาม : "เวลาคนตายไปแล้วใหม่ๆ กี่วันถึงจะรู้ว่าตายครับ…?"

หลวงพ่อ : "เอาตัวรู้หรือว่าใจรู้ ถามให้ถูก แต่ความจริงนะ ถ้าตายเดี๋ยวนั้นก็รู้เดี๋ยวนั้น ไม่ใช่กี่วัน ฉันเคยตายหลายวาระฉันรู้ ไม่ต้องไปถามชาวบ้านที่ไหนหรอก พอมันออกจากร่างปั๊บ ก็เห็นร่างกายเนื้อนอนอยู่แล้ว อารมณ์จิตนึกรังเกียจทันที ไม่ใช่พอใจ ไม่ใช่เสียดายนะ แต่รังเกียจไอ้ตัวนั้น ฉะนั้นไอ้เรื่องตายแล้วจะเผาหรือไม่เผา ไม่ต้องวิตกกังวล จิตใจเป็นไปตามสภาพของมันอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลาน ฉันยุส่งเลย เอาไปให้เขาเถอะ ตายปุ๊บเราก็ยกไปโรงพยาบาล ไม่ต้องนิมนต์พระมาบังสกุลด้วย"



การบริจาคอวัยวะนั้นที่ใครหลายคนคิดว่า หากบริจาคไปแล้วจะทำให้ชาติหน้าเกิดมากลายเป็นคนพิการนั้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะการได้บริจาคอะไรก็ตาม ก็จะมีจิตใจยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุข ความดีงาม ความเจริญ ซึ่งการบริจาคอวัยวะนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โทร. ๑๖๖๖  หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์ www.organdonate.in.th 

ส่วนการบริจาคดวงตานั้น ติดต่อได้ที่ ศูนย์สภากาชาดไทย ชั้น ๗ อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร(เจริญ สฺวฑฒโน) โทร. ๐๒-๒๕๒-๘๑๓๑-๙, ๐๒-๒๕๒-๘๑๘๑-๙ ต่อศูนย์ดวงตา ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซด์ www.eyebankthai.com
       
ข้อกำหนดในการบริจาคอวัยวะ
- ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี
- เสียชีวิตจากภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่างๆ
- ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
- ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
- ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://palungjit.org
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)
http://www.bokboontoday.com
เรียบเรียงโดยเสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์
http://www.tnews.co.th/contents/358815
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ