อานิสงส์แรงกล้า!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำยืนยัน..บริจาคร่างกายและดวงตา เกิดชาติหน้า..ตาไม่บอดแน่นอน เพราะอานิสงส์อุทิศดวงตาเป็นทานบารมี !!
การบริจาคร่างกายและอวัยวะ เป็นการให้เรียกว่า "ทาน" คือ การให้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะการบริจาคอวัยวะเป็นการเสียสละเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ต้องการให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ และมีความสุข การบริจาคจึงเป็นหลักธรรมที่สำคัญของพุทธศาสนา โดยเฉพาะในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเรียกว่า "ทานบารมี" นั้น การบริจาคอวัยวะเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นความดีที่จำเป็นต้องทำเลยทีเดียว เพราะการก้าวไปสู่โพธิญาณ ต้องมีความเข้มแข็งของจิตใจในการเสียสละเพื่อความดี
@@@@@@
สำหรับทานที่เป็นบารมี แบ่งได้เป็น ๓ ขั้น
- ทานบารมี ระดับสามัญ คือการบริจาคทรัพย์สินเงินทองของนอกกาย ถึงจะมากมายแค่ไหนก็อยู่ในระดับนี้
- ทานอุปบารมี คือทานบารมีระดับรองหรือจวนสูงสุด ได้แก่ ความเสียสละทำความดีถึงขั้นสามารถบริจาคอวัยวะเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นได้
- ทานปรมัตถบารมี คือทานบารมีขึ้นสูงสุด ได้แก่ การบริจาคชีวิต เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น หรือเพื่อรักษาธรรม
@@@@@@
จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ได้อธิบายและตอบปัญหาธรรมไว้ว่า
ผู้ถาม : "ถ้าเราจะไม่เกิดอีกแล้ว และเราอุทิศดวงตาให้สภากาชาด แต่ถ้าบางทีเราไม่ถึงซึ่งพระนิพพานและเราต้องมาเกิดอีก อยากทราบว่า ตาเราจะบอดหรือไม่ ?
หลวงพ่อ : "บอดแน่ๆ เลย เสร็จ..ไม่มีตาดูน่ะซิ"
ผู้ถาม : "ก็นั่นนะซิครับ กลัวจังเลยว่าจะไม่มีตาดู"
หลวงพ่อ : "ต้องตอบว่า ตาจะแจ่มใสดีกว่าตาเดิม เพราะอานิสงส์อุทิศลูกตาเป็นทาน ไม่ใช่ตาบอดนะ"
ผู้ถาม : "ลูกเคยตั้งใจไว้ว่า การบริจาคดวงตาและร่างกายเมื่อหลังจากตายแล้ว จะได้ประโยชน์ หลวงพ่อว่าดีไหมคะ…?"
หลวงพ่อ : "บุญน้อยไปให้เมื่อตายแล้ว ต้องให้เมื่อเป็น"
ผู้ถาม : "ก็ตาบอดซิคะ"
หลวงพ่อ : "ใส่ตาใหม่ ใส่ตาแก้วมันสวยกว่าตาเก่า ตาใสแจ๋วแต่มองอะไรไม่เห็น อย่างพระพุทธเจ้าสมัยเมื่อเป็นพระเวสสันดรไงล่ะ เขามาขอของภายนอกก็คิดว่า ทำไมไม่ขอดวงหทัย ทำไมไม่ขอดวงตา ทำไมไม่ขอแขนซ้ายแขนขวา ถ้าขอดวงตาเราจะควักให้ ขอแขนซ้ายจะตัดให้ ขอแขนขวาจะตัดให้ เป็นต้น แต่ว่าการตั้งใจแบบนั้นก็เป็นกุศลนะ กุศลย่อมเกิดตั้งแต่เริ่มคิด ตัดสินใจว่าจะให้ เวลาตายไปแล้วก็ได้บุญแน่ แต่สงสัยซิ ไปเกิดใหม่ตาจะโบ๋ เพราะมีคนสงสัยหลายคนมาถาม".jpg)
ผู้ถาม : "แล้วจริง ๆ โบ๋ไหมครับ"
หลวงพ่อ : "ไม่โบ๋ เพราะไปเกิดใหม่ ไม่ได้เอาตาดวงเก่าไปด้วย กายเก่าไม่ได้ไป เกิดใหม่ก็อาศัยบุญใหม่ การเกิดนี่ต้องมีบุญนะ คนไม่มีบุญเลยเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้ ต้องมีบุญช่วยให้เกิด แต่ว่าต้องสร้างกายใหม่ ไม่ใช่กายเก่า แต่ว่าตามหลักของการปฏิบัติท่านบอกว่า ถ้าคนเจริญสมาธิจิตอยู่ คือทรงสมาธิเวลาตาย ถ้าจิตออกทางตา ตาทิพย์ จิตออกทางหู หูทิพย์ จิตออกทางปาก ปากทิพย์ จิตออกทางจมูก จมูกทิพย์ ถ้าจิตออกมือ มือทิพย์ ออกทางหน้าท้อง ถ้าท้องทิพย์ละแย่เลย"
ผู้ถาม : "ทำไมหรือครับ…?"
หลวงพ่อ : "เลี้ยงไม่อิ่มนะซิ"
ผู้ถาม : "อ๋อ…" (หัวเราะ)
หลวงพ่อ : "คำว่า "ทิพย์" หมายความว่าเกิดประโยชน์แก่สายนั้น ตาดี อาจจะได้ทิพจักขุญาณ หรือว่าเป็นคนที่มีหูดีไวเป็นพิเศษ แก่เฒ่ามากแล้วคนอื่นเขาหูตึง เราก็ไม่ตึงไม่พร่า ปากดี พูดแล้วคนอื่นชอบฟัง เกิดประโยชน์จากปาก อย่างนี้เป็นต้น"
ผู้ถาม : "แล้วที่บอกว่ากายทิพย์ออกจากร่าง ความจริงออกทางไหนครับ…?"
หลวงพ่อ : "ที่เขาฝึกเอากายออกไปใช่ไหม…?"
ผู้ถาม :- "ครับ"
หลวงพ่อ : "ไม่ต้องหาช่องละนั่นไปเลย เวลาออกแบบนั้น ก็เหมือนกับเข้านั่นแหละ เข้าไม่เลือกช่อง ออกก็ไม่เลือกช่อง เพราะเป็นนามธรรม อย่างกลางคืนเรานอนอยู่ห้องแคบ ๆ ถ้าผีมาหรือเทวดามาตั้งพัน เราก็เห็นได้ แต่ไม่มีห้องกั้น เพราะว่าสภาพเป็นทิพย์"
@@@@@@
ผู้ถาม :"ทีนี้ก็มีคนคนหนึ่งได้ทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าตายแล้ว ขออุทิศศพให้โรงพยาบาล ทีนี้ลูกหลานก็ไม่สบายใจ เพราะถ้าอุทิศให้โรงพยาบาลแล้ว กลัวพ่อจะไม่ไปผุดไปเกิดเพราะไม่ได้เผาศพ หลวงพ่อมีความเห็นว่าอย่างไรครับ…?"
หลวงพ่อ : "ความจริงถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลานฉันจะดีใจมาก ไม่ต้องเปลืองเงินทำศพ มีผลเท่ากันนะ พอตายลงไปปั๊บ ไอ้จิตนี่มันก็ไปตามสภาพตามกฎของกรรมอยู่แล้ว มันไม่อยู่หรอก มันไม่มานั่งห่วงซากศพ ไอ้ที่ว่านั่นห่วงซากศพน่ะไม่จริง"
ผู้ถาม : "เวลาคนตายไปแล้วใหม่ๆ กี่วันถึงจะรู้ว่าตายครับ…?"
หลวงพ่อ : "เอาตัวรู้หรือว่าใจรู้ ถามให้ถูก แต่ความจริงนะ ถ้าตายเดี๋ยวนั้นก็รู้เดี๋ยวนั้น ไม่ใช่กี่วัน ฉันเคยตายหลายวาระฉันรู้ ไม่ต้องไปถามชาวบ้านที่ไหนหรอก พอมันออกจากร่างปั๊บ ก็เห็นร่างกายเนื้อนอนอยู่แล้ว อารมณ์จิตนึกรังเกียจทันที ไม่ใช่พอใจ ไม่ใช่เสียดายนะ แต่รังเกียจไอ้ตัวนั้น ฉะนั้นไอ้เรื่องตายแล้วจะเผาหรือไม่เผา ไม่ต้องวิตกกังวล จิตใจเป็นไปตามสภาพของมันอยู่แล้ว ถ้าฉันเป็นลูกเป็นหลาน ฉันยุส่งเลย เอาไปให้เขาเถอะ ตายปุ๊บเราก็ยกไปโรงพยาบาล ไม่ต้องนิมนต์พระมาบังสกุลด้วย"
การบริจาคอวัยวะนั้นที่ใครหลายคนคิดว่า หากบริจาคไปแล้วจะทำให้ชาติหน้าเกิดมากลายเป็นคนพิการนั้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเลย เพราะการได้บริจาคอะไรก็ตาม ก็จะมีจิตใจยินดีเบิกบาน คิดถึงความสุข ความดีงาม ความเจริญ ซึ่งการบริจาคอวัยวะนี้ สามารถบริจาคได้ที่ ศูนย์บริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย โทร. ๑๖๖๖ หรือ ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซด์ www.organdonate.in.th
ส่วนการบริจาคดวงตานั้น ติดต่อได้ที่ ศูนย์สภากาชาดไทย ชั้น ๗ อาคารเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร(เจริญ สฺวฑฒโน) โทร. ๐๒-๒๕๒-๘๑๓๑-๙, ๐๒-๒๕๒-๘๑๘๑-๙ ต่อศูนย์ดวงตา ตลอด ๒๔ ชั่วโมง หรือรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซด์ www.eyebankthai.com
ข้อกำหนดในการบริจาคอวัยวะ
- ผู้บริจาคอวัยวะต้องมีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี
- เสียชีวิตจากภาวะสมองตายด้วยสาเหตุต่างๆ
- ปราศจากโรคติดเชื้อ และโรคมะเร็ง
- ไม่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน, หัวใจ, โรคไต, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ และไม่ติดสุรา
- ปราศจากเชื้อที่ถ่ายทอดทางการปลูกถ่ายอวัยวะ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ไวรัสเอดส์ ฯลฯขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://palungjit.org จากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง)
http://www.bokboontoday.comเรียบเรียงโดยเสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์
http://www.tnews.co.th/contents/358815