
เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ตอนนั้นฉันประสบกับทุกข์ มากมายหลายอย่าง จนสติ แทบจะขาด แต่เพราะความเป็นผู้นำ ผู้สอนมาก่อน ในด้านศีลธรรม จึงพอยับยั้งสติ ประคองตนให้รอด ตอนนั้น มันไม่สบายใจ มีความกังวล ต่ออนาคต มากมายหลากเรื่อง ทั้งเรื่องหากิน ประจำวัน ตลอดถึงหนี้สินที่เราไม่ได้ก่อ แต่ต้องรับผิดชอบด้วย ของตระกูล ตอนนั้นความเป็นทุกข์ ก็ดึงอุปนิสัยเก่า กลับมาหลายอย่าง สิ่งที่เคยพบเห็น เคยฝึกไว้ตอนเป็น สามเณรนั้น ก็ประดังกลับมาทำให้นึกถึง ครูอาจารย์ ที่เป็นพระสงฆ์ เมื่อคิดถึง ก็อยากไปหา ไปขอคำปรึกษา ที่จริงอยากให้ช่วยเหลือเลย ความคิดเห็นแก่ตัวมันได้แค่นั้น แต่เหมือนกรรมบังไว้ พอไปหาครูอาจารย์รูปไหน ก็ไม่เจอสักรูป สักองค์ ต้องมีอันทราบว่าไม่อยู่ ตอนนนั้นเดินทางไปหลายจังหวัดด้วย มีสมุทรปราการ อ่างทอง อุทัยธานี ลพบุรี ชลบุรี สิงห์บุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา ในสายภาคกลาง แต่ก็ หาไม่เจอเลยสักรูป สักองค์ ไปถึงแล้ว เหมือนท่านไม่อยากพบเรา ก็จะได้ข้อความ คล้าย ๆ กัน ว่า ท่านไม่อยู่ไปธุระ เป็นเดือน อย่างนี้แทบจะทุกที่ มีบางที่เท่านั้นที่ไม่รู้จะถามใคร คือ เงียบกริบ ไม่มีใครให้ถาม ตอนนั้นใจมันก็ทุกข์อยู่นะ แต่สุดท้ายเมื่อไปไม่เจอก็ต้องเดินทางกลับมา ก็เริ่มใหม่ ทำอยู่อย่างนี้ สักเดือนกว่า ๆ หมดค่ารถ ค่าน้ำมัน ไปร่วมหมื่น ถามว่าทำไมไม่ใช้มือถือติดต่อ นี่มัน 25 ปีที่แล้วนะ ไม่ใช่ 25 วันที่ผ่านมา มือถือตอนนั้นไม่ได้มีเกลื่อนตอนนั้นมือถือ 3110 กำลังฮิตราคา 5000 - 8000 ค่าโทรต่อนาทีหลายบาท คนทั่วไปพกไม่ได้ แต่ อีกอย่างพระสงฆ์ฝ่ายภาวนานั้นไม่ใช้มือถือกันด้วย มันก็เป็นอย่างนี้ ฉันเองปัจจุบันมีก็แค่พกไม่ค่อยได้โทรหาใคร และก็มักจะสั่งคนมีเบอร์ว่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าได้โทรมา
ให้ ติดต่อฉันทางเฟค ง่ายกว่าทางมือถือ
เมื่อการไปหาครูอาจารย์ หาไม่พบเลย นานเข้าใจก็จะเริ่มจะหายทุกข์ เพราะการเดินทางแต่ละครั้ง มันได้เวลาพักไปด้วย คือ ทุกข์ ก็เดินทางมองวิวข้างทางไป นั่งนึกมองเห็นคนเดินทางไปด้วย ในรถโดยสารต่าง ๆ ก็เห็นบางคนก็สุข บางคนก็ทุกข์ ไปถึงวัดบางวัดก็ร่มเย็นนั่งพัก ได้ชื่นใจเติมพลัง บางวัดไปถึงแล้วก็ต้องรีบออกเพราะเร่าร้อน ทั้งพระทั้งวัด สัมผัสได้ทันทีเวลาได้สนทนา หรือ ก้าวเท้าเข้าวัด จะรู้ทันทีว่า วัดนี้นั่งได้นาน นั่งไม่ได้นาน แต่ส่วนใหญ่ก็จะนั่งพักสักชั่วโมงกว่า ๆ
ด้วยการแสวงหา อย่างนี้ จิตมันก็คิดอย่างนี้ ในค่ำคืนจากนั้นสักประมาณ 1 เดือนกว่า ๆทีทำแบบนี้ ฉันก็ได้ฝันเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านเข้ามาหาให้เห็นทุกคืน เป็นเวลาเกือบ สิบวัน
ก็คิดอยู่ว่า เราคิดถึงครูอาจารย์ ต่าง ๆ มากไป จึงมาสร้างภาพหลอกในตอนนอนหลับอย่างนี้ จะเล่าไปตามลำดับ ฝันนี้จะเกิดประมาณเวลา 03.00 น. ทุกคืน
คืนแรก เห็นพระสงฆ์รูปนี้ เดินถือไม้เท้ามายืนมอง ที่เรานอนอยู่ พอลืมตามองท่านสักพัก ท่านก็ยิ้มให้แล้วก็เดินกลับไป
คืนที่สอง เห็นอีกแบบเดิม แต่คราวนี้ อยากถาม ยกมือไหว้ท่านในท่านอน ท่านยิ้มแล้ว็ก็เดินจากไป
คืนที่สาม เห็นอีกแบบเดิม ตะแคงตัว นั่ง กราบท่าน พอเงยหน้าขึ้นท่านก็หายไป
คืนที่สี่ เห็นอีกแบบเดิม แต่คราวนี้กลัวท่านหายไป เลยกราบที่เท้าท่านเอามือยึดไว้ เงยหน้ามอง ท่านก็หายไปอีกเช่นกัน
คืนที่ห้า ลุกขึ้นกราบแบบเดิมจับเท้าไว้ แต่ไม่เงยหน้ามอง ๆ แต่เท้า ได้ยินเสียงท่านครั้งแรก ท่านถามว่า สบายใจหรือยัง ตอบท่านว่า สบายใจแล้ว ครับ หลวงพ่อ ตอบเสร็จท่านก็หายไป
คืนที่หก ทำแบบเดิม พูดแบบเดิม แต่ยังไม่หายไป รู้สึกมีมือแตะที่ศรีษะ แล้วเสียงพูดว่า
อย่ามัวแต่หาพระ ภายนอกเลย
จงเป็นพระที่เลิศเองเลย เป็นที่พึ่งแก่ตนเองดีกว่า
เสร็จแล้วท่านก็หายไป
คืนที่เจ็ด ก็แบบเดิมนั่นแหละ แต่คราวนี้ถามท่านว่า ผมจะเป็นพระที่เลิศเองได้อย่างไร ครับ
ท่านตอบว่า สวดบท อัคคโตเว ให้จบ 108 จบ แล้วก็จะเข้าใจ
คืนที่แปด ก็เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมตรงที่ว่า ท่านถามว่า ทำไมไม่สวด บท อัคคโตเว ตอบท่านไปว่า ผมไม่มีเวลาครับ ท่านพูดต่อว่า เพราะไม่ม่ศรัทธา ทุกข์ก็ต้องมีอยู่ต่อไป
ก่อนคืนที่เก้า ได้สวดบทอัคคะโตเว 2 - 3 จบแล้วนอน
คืนที่เก้า เหตุการณ์เหมือนเดิม แต่มีพูดเพิ่มเติมว่า ให้สวด 108 จบ ทุกวันนะ จนกว่า ทุกข์จะหายไป
คืนที่สิบ เหตุการณ์เหมือนเดิม แต่ วันนี้หลังจากพูดประโยค คืนที่ 9 แล้วท่านก็บอกว่า รักษารูปจิต ให้แล้ว นะ ขรัว จะไม่มาหาเราจนกว่า จะเข้าใจ
ตั้งแต่คืนนั้นมาก็ไม่ได้ฝันเห็นท่านอีกเลย ฉันก็เลยมาสวด บท อัคคโตเว ต้องบอกก่อนว่า ตอนนี้ยังไม่ได้สวดคาถา พญาไก่เถื่อน ( พญาไก่แก้ว ) เลยนะ แต่ตอนนั้นฉันก็สวดบทนี้ เป็นกรรมฐาน สวดจนจิตได้สมาธิ เช่นกัน และก็มีเหตุการณ์ เกิดขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ ไป จนถึงปัจจุบัน
ที่จะบอกจากเรื่องนี้ ก็คือ ความศรัทธา ความเคารพ ความเลื่อมใส ในพระสงฆ์ มีความสำคัญ การปฏิบัติตามคำสั่ง ก็มีความสำคัญ เพราะบุคคลจะสำเร็จ ได้คุณธรรม ก็ต้องดำเนินกิจ ตามคำสอน และฝึกฝนจิต
ความทุกข์ของคนเรามีหลากรูปหลายแบบ ทุกข์เพราะทำมาหากิน ทุกข์เพราะคนรอบข้าง มีคนรัก คนไม่รัก พ่อ แม่ บุตร ธิดา ญาติ มิตร เป็นต้น ทุกข์เพราะผิดหวัง ไม่สมหวัง ทุกข์ เพราะ ความลำบากข่นแค้นตรากตรำ ทุกข์เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์อีกสาระพัดทุกข์ เป็นสิ่งที่เกิดคู่กับมนุษย์ ยิ่งคนไหน มีคนรักมาก ก็ทุกข์มาก คนไหนไม่ค่อยมีคนรักก็ทุกข์น้อย เพราะทุกข์นอกจากตนแล้ว ยังต้องแบกทุกข์ของคนอื่นอีก นี่เรียกว่า ชีวิตเรามีทุกข์ มากกว่าสุข แต่ที่จริงแล้ว สุขก็คือ ทุกข์เข่นกัน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ บุคคลผู้มองเห็นทุกข์ เป็นธรรมดา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา เขาย่อมมีความสุขเบื้องต้น
คุยกันพอให้ท่านทั้งหลายมีสติ กันบ้าง อย่ามัวแต่แบกทุกข์กันมาก มีโอกาสยามว่าง ก็นึกถึง พุทโธ พุทโธ พุทโธ อย่างนี้เรื่อย ๆ จะดีกว่า
สัตว์โลกที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ย่อมยินดี ในเสียงขับ ทัศนาภาพ ทำจิตให้เพลิดเพลิน ในสิ่งลวง ฉันใด
พระอริยะ ย่อมเห็นวิเวก ( ความสงัด ) เป็นสิ่งบันเทิง ( ปราโมทย์ ) มากกว่า และยินดี ในความสงัดนั้นเป็นกิจ เสมอ ๆ
ขอดวงตาเห็นธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสำเร็จในธรรมจงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่าน
เจริญธรรม / เจริญพร