ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ  (อ่าน 962 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29397
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ
« เมื่อ: มีนาคม 13, 2018, 06:30:40 am »
0



กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ

พระพุทธศาสนากับการกิน มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งคือไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาระบบในร่างกายยังส่งผลต่อการพัฒนาจิตใจได้ด้วย – กินยังไงให้ดี ตามวิถีชาวพุทธ

@@@@@@

กินแบบมีสติ

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ชาวพุทธควรมีสติทุกอิริยาบถ ตั้งแต่นั่ง ยืน เดินนอน หรือแม้กระทั่งขณะกิน ไบรอัน  เชลลีย์ (Brian Shelley) ผู้อำนวยการศูนย์ดูแลสุขภาพเฟิร์สต์ช้อยส์(First Choice Community Healthcare)ในรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกานำวิธีกินอาหารอย่างมีสติมาสอนในศูนย์ดูแลสุขภาพ เขากล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า การกินอย่างมีสติไม่ใช่การกินที่มัวระวังเรื่องแคลอรีหรือมุ่งไปที่รสชาติอาหาร แต่คือการมีสติรู้ตัวว่ากำลังกินอาหาร ซึ่งช่วยให้ตระหนักรู้ว่า ปริมาณอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างแท้จริงนั้น ไม่มากเท่าตอนที่เรารีบร้อนกินด้วยความอยากการฝึกกินช้าๆเพียงวันละ 10 นาที ช่วยเสริมศักยภาพของร่างกายในการจับสัญญาณความอิ่มแบบพอดีๆได้

แนวคิดนี้คล้ายกับ เมเกรตต์ เฟลตเชอร์(Megrette Fletcher) ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์การกินอย่างมีสติ (The Center forMindful Eating) ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ประเทศสหรัฐอเมริก ที่เล่าว่า คนเราอาจชอบกินขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไม่ใช่ว่าต้องกินขนมหวานทุกครั้งที่เห็น เมื่อไหร่ที่มีสติ เราสามารถเลือกได้ว่าจะกินหรือไม่กินไม่ใช่กินเพราะเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติของร่างกาย

@@@@

มิเชลล์ เมย์ (Michelle May) ผู้ริเริ่มกิจกรรม “ฉันหิวจริงหรือ” (Am I Hungry?) กิจกรรมเวิร์คชอปเพื่อการกินอย่างมีสติ (Mindful Eating Program) ของศูนย์การกินอย่างมีสติ แนะนำวิธีการกินอย่างมีสติง่าย ๆ เอาไว้ว่า ลำดับแรกต้องถามตัวเองก่อนว่า “ฉันจะกินไปทำไม” กินเพราะหิวอยากเหนื่อย หรือเครียด จากนั้นเมื่อรู้สึกหิวหรืออยากกินให้ถามตัวเองว่า “ฉันจะกินเมื่อไร” แล้วถามตัวเองต่อไปว่า “ฉันจะกินอะไร” กินอาหารที่มีคุณค่า อาหารอร่อยหรืออาหารที่กินสะดวก จากนั้นถามต่อว่า“ฉันจะกินอย่างไร” กินอย่างเร่งรีบ กินไปคุยกับเพื่อนไป หรือค่อยๆ กินอย่างมีสติแล้วถามว่า “ฉันจะกินมากเท่าไร” ชิ้นเดียวหมดทั้งโหล หรือตามความอิ่ม สุดท้ายให้ถามว่า “พลังงานของอาหารที่กินจะไปอยู่ที่ไหน” เราจะใช้พลังงานขณะทำงานหรือออกกำลังกายหมดหรือไม่

เมื่อถามตัวเองได้อย่างนี้ทุกครั้ง จะทำให้เรามีสติรู้ตัวมากขึ้นว่า กำลังทำอะไรและช่วยปรับพฤติกรรมการกินไม่ให้ไหลไปตามความอยากเหมือนเช่นเคย

@@@@

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น นิโคลัสนอแมน(Nicholas Nauman) พ่อครัวชาวอเมริกันที่เคยไปเยือนวัดในประเทศอินเดียเขาสังเกตว่า พระสงฆ์ที่นั่นฉันอาหารเช้าอย่างสงบและมีสติ ความศรัทธาต่อวิถีการกินของพระสงฆ์จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “วันกินเงียบ” ในร้านอาหารออร์แกนิกชื่อ “อีท” (Eat) ที่รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา

นิโคลัสจัดวันกินอาหารในความเงียบเดือนละครั้ง โดยตั้งกฎห้ามลูกค้า พ่อครัวบริกรและพนักงานทุกคนในร้านพูดคุยกันในช่วงเวลา 90 นาทีของการกินอาหาร รวมทั้งต้องปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ลูกค้ามีสติมากที่สุดขณะกำลังละเลียดอาหารตามแบบพระสงฆ์ในอินเดีย ชาวนิวยอร์กตอบรับแนวความคิดนี้ดีเกินคาด ถึงขนาดต้องจองโต๊ะล่วงหน้าหลายวัน จนในที่สุดเจ้าของร้านต้องจัดสัปดาห์ละครั้ง  สิ่งสำคัญที่สุดคือสติที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นขณะกินอาหารสามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่การใช้ชีวิตได้อย่างที่เราไม่รู้ตัว

@@@@

รู้หรือไม่ ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าปเสนทิโกศลมีพระวรกายอ้วนท้วนมาก เพราะเสวยพระกระยาหารมากเกินไป วันหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า “บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้ามีอายุยืนนาน” (สุตตันตปิฎกเล่ม 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ.365 หน้า.116) พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงให้พระราชนัดดาของพระองค์คอยว่า คาถานี้ทุกครั้งที่พระองค์กำลังจะเสวยพระกระยาหาร ผลปรากฏว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จในที่สุด


@@@@@@

กินแบบละกิเลส

หลายคนกินอาหารมังสวิรัติเพราะเชื่อว่าเป็นวิธีการสร้างบุญกุศล เพราะไม่ได้กระทำปาณาติบาต แต่แท้จริงแล้วประโยชน์ของการกินอาหารมังสวิรัติมีมากกว่านั้น  ที่ประเทศญี่ปุ่นมีรูปแบบการกินอาหารมังสวิรัติตามต้นตำรับดั้งเดิมของวัดญี่ปุ่นที่เรียกว่า โชจิน เรียวริ (Shojin Ryori) หรืออาหารมังสวิรัติแบบเซ็นที่พระสงฆ์เป็นผู้ปรุงด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากอาหารมังสวิรัติที่คนไทยคุ้นเคยตรงที่อาหารเหล่านี้ เป็นอาหารเฉพาะสำหรับพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมในวัดญี่ปุ่น ที่มีกระบวนการปรุงอย่างพิถีพิถันและมีปรัชญาธรรมซุกซ่อนอยู่ด้วย

โชจิน เรียวริ คือ อาหารที่ไม่เน้นรสชาติหรือความอร่อย เพื่อฝึกการละกิเลส ลดความยินดีต่อรูปและรสที่ปรุงแต่งขึ้นมา การปรุงยึดหลักการโกชิกิโกโฮโกมิ(Goshiki Goho Gomi) หรือการเลือกใช้วัตถุดิบ 5 สี  ได้แก่ แดง ขาว ดำ เหลือง และเขียว จำพวกพืชผัก ถั่วและสาหร่าย เพื่อให้ได้คุณค่าสารอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการ แต่ละมื้อต้องมีทั้งอาหารสดและอาหารที่ปรุงด้วยการย่าง ตุ๋น ทอด นึ่ง และมีรสชาติ 5 รสชาติ ได้แก่ เค็ม หวานเปรี้ยว ขม และเผ็ด กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้พระสงฆ์ได้ฝึกสมาธิ ความอดทน และพิจารณาส่วนประกอบของอาหารไปด้วยในตัว

เมื่ออาหารสามารถเป็นได้ทั้งเครื่องปรนนิบัติทางร่างกายและจิตใจ คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากใครคนหนึ่งจะเข้าถึงธรรมได้บนโต๊ะอาหาร


@@@@@@

กินแบบตระหนักรู้

เดิมองค์ทะไลลามะ ไม่ฉันมังสวิรัติท่านตัดสินใจเปลี่ยนพฤติกรรมการฉันอาหารมาเป็นแบบมังสวิรัติเมื่ออายุ 70 พรรษาเพราะไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ไก่ในฟาร์มเลี้ยงที่ไม่ได้มาตรฐานแห่งหนึ่ง ต่อมาไม่นานท่านอาพาธ แพทย์จึงแนะนำให้ท่านกลับไปฉันอาหารเช่นเดิม ถึงอย่างนั้นองค์ทะไลลามะก็ได้รณรงค์แนวคิดเรื่องมังสวิรัติให้ผู้คนในอินเดียรับรู้เรื่อยมา เพราะเห็นว่าการกินมังสวิรัติเป็นการเคารพทุกสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลก ไม่ต้องเบียดเบียนหรือทรมานสัตว์ใดๆ สอดคล้องกับแนวทางของพุทธ-ศาสนาเรื่องความเมตตาและอหิงสาหรือการไม่เบียดเบียนผู้อื่น

จนเมื่อปี 2548 องค์ทะไลลามะหันมาฉันอาหารมังสวิรัติอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีแพทย์ท่านใดขัดขวางอีกแล้ว  เพราะปัจจุบันแพทย์ชาวทิเบตตระหนักถึงประโยชน์ของอาหารมังสวิรัติเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึง เท็นซินเซฟาล (Tenzin Tsephal) ผู้อำนวยการการแพทย์ทิเบต ซึ่งกล่าวว่า การที่แพทย์สั่งให้คนไข้กินเนื้อสัตว์เป็นความคิดล้าสมัยไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่องค์ทะไลลามะต้องฉันเนื้อสัตว์แต่อย่างใด

@@@@

เมื่อการกินอาหารมีความสัมพันธ์กับทุกชีวิตในสังคมเช่นนี้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการกินอาหารไม่ใช่เพียงแค่การบำบัดทุกข์ให้ตัวเองเท่านั้น แต่ยังเป็นการบ่มเพาะจิตใจเราและสร้างสังคมให้ดีขึ้นได้ด้วย

รู้หรือไม่ พระทิเบตส่วนใหญ่ต่างจากพระจีนและชาวพุทธที่นับถือพระแม่กวนอิม ตรงที่ท่านไม่ได้ละเว้นการฉันเนื้อ แต่มักหลีกเลี่ยงการฉันอาหารทะเล เพราะเชื่อว่าชีวิตเล็กๆของสัตว์ทะเลไม่สามารถทำให้อิ่มท้องได้ ทำให้ต้องเบียดเบียนสัตว์เป็นจำนวนมาก ต่างจากสัตว์ใหญ่อย่างจามรีหนึ่งตัวที่เลี้ยงคนได้ทั้งหมู่บ้าน



เรื่องจาก : นิตยสาร Secret คอลัมน์ open eyes open mind
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/77776.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ