ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 3 ประตูสู่..เมืองลับแล ที่น่าเชื่อถือที่สุด กับเหตุผลที่ประตูเมืองถูกปิด.?  (อ่าน 999 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เจาะตำนาน แดนสนธยา "3 ประตูสู่..เมืองลับแล" ที่น่าเชื่อถือที่สุด.!! กับเหตุผลที่ประตูเมืองถูกปิด เพราะความละโมบของมนุษย์

จากเรื่องเล่าปรัมปราของชาวเมืองลับแลเมืองเล็ก ที่ปัจจุบันเป็นอำเภอลับแล อำเภอหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาจนแพร่หลายในปัจจุบัน  เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่เรื่องเล่านี้ไม่ได้มีเฉพาะที่ อำเภอลับแลเท่านั้น แต่จริงๆแล้วเรื่องเล่าเมืองลับแลกระจายออกไปหลายที่มากมายในประเทศ มีทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก มีเรื่องเล่าของประตูเมืองลับแลที่ถูกปิด แต่ที่น่าแปลกใจเลยคือ สิ่งที่ทำให้ประตูถูกปิดนั้นมาจากเรื่องเดียวกันคือความละโมบโลภมากของคนภายนอก ที่มีความเห็นแก่ตัว วันนี้ Tnews ได้รวบรวมเรื่อง ประตูเมืองลับแลในที่ต่างๆมาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันพอหอมปากหอมคอ ส่วนจะมีที่ไหนบ้างไปอ่านกันดีกว่าครับ




เมืองลับแลเขาวังสะดึง

ในพื้นที่ ต. เขาแร้ง อ. เมือง จ. ราชบุรี เดิมที่เขาวังสะดึงด้านทิศตะวันออกจะมีปากถ้ำ ซึ่งในปัจจุบันจะมีหินแผ่นใหญ่ปิดปากถ้ำซ้อนกันอยู่ ไม่สามารถเข้าไปภายในถ้ำได้ ณ ถ้ำแห่งนี้มีประวัติเล่ากันต่อๆกันมาว่า เป็นที่พักอาศัยของชาวเมืองลับแล ซึ่งชาวเมืองลับแลจะมีรูปร่างสันทัดคล้ายกับคนไทยโดยทั่วไป การแต่งตัวก็เหมือนกับคนไทยโดยทั่วไป แต่มีภาษาพูดที่แตกต่างจากคนไทย

ภายในถ้ำในวันดีคืนดีจะมีเสียงดนตรีไทยประเภทวงปี่พาทย์ดังแผ่ว ๆ มาจากในถ้ำ แต่ไม่สามารถหาแหล่งที่มาของเสียงได้ จากเมืองลับแลนี้ชาวเมืองลับแลจะเป็นกลุ่มคนที่มีความซื่อสัตย์ ขยันทำมาหากิน ซื่อตรง รักเดียวใจเดียว ไม่ลักเล็กขโมยน้อยอยู่กันเป็นกลุ่ม จะพบเห็นคนเมืองลับแลได้ก็ต่อเมื่อเวลาใกล้ค่ำ ชาวลับแลจะออกมาอาบน้ำในสระน้ำด้านหน้าของเขาวังสะดึง เรียกชื่อสระนี้ว่า “สระพัง” หรือบางครั้งชาวลับแลจะลงมาจากเขามาจับจ่ายชื้อเสบียงอาหารที่บริเวณตลาดนัดเชิงเขาในฤดูน้ำหลาก

@@@@@@

ภายในถ้ำของชาวเมืองลับแลจะมีข้าวของเครื่องใช้ครบทุกอย่าง โดยเฉพาะพวกถ้วยชาม เครื่องใช้ในครัวเรือน เมื่อชาวไทยในเขตพื้นที่ใกล้เคียงมีงานมงคลต่าง ๆ มักจะมาเอาถ้วยชามภายในถ้ำไปใช้ เมื่อเสร็จงานแล้วก็จะนำกลับมาส่งคืน

จากความซื่อสัตย์ของคนเมืองลับแลนี้เองมักจะถูกเอาเปรียบจากคนในพื้นที่ใกล้เคียงจนมีเรื่องเล่ากันว่า ชาวไทยได้เข้าไปยืมถ้วยชามจากชาวลับแลมาใช้แล้วมักไม่ส่งคืนจนชาวเมืองลับแลเกิดความเบื่อหน่าย การถูกเอารัดเอาเปรียบจึงได้ปิดปากถ้ำไม่ออกมาติดต่อกับคนภายนอกอีกเลย




เมืองลับแลที่เขางู

จากคำบอกเล่าของคุณณรงค์ คุ้มจิตร์ เล่าว่า "เขางูมีตำนานเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า เขางูเป็นเมืองลับแล เล่ากันว่า ที่ถ้ำแห่งนี้สามารถทะลุผ่านไปยังเมืองลับแลซึ่งมีผู้คนชาวลับแลอาศัยอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นคนพวกนี้ได้ วันดีคืนดีจะมีเสียงปี่พาทย์ดังออกมา

ในสมัยก่อนเมื่อชาวบ้านจะทำบุญเลี้ยงพระ จะไปอธิษฐานขอยืมถ้วยชามรามไหจากคนลับแล ก็จะมีถ้วยชามจัดวางไว้ตามที่ขอยืม ต่อมามีคนขอยืมแล้วไม่นำไปคืน ทำให้คนลับแลไม่ให้ยืมอีกต่อไป ปากถ้ำที่เข้าไปสู่เมืองลับแลจึงปิด ตอนเด็กๆ ได้เคยไป วิ่งเล่นแถวนั้น แล้วมีปู่ ย่า ตา ยาย ชี้ให้ดูประตูปากถ้ำ ซึ่งต่อมาได้ทำกำแพงกั้นไว้ และเมื่อจังหวัดจะมาบูรณะ รถไถจึงไถมาดินมาไว้บริเวณปากถ้ำโดยไม่ทราบที่มา ทำให้ปากถ้ำที่เป็นเสมือนกำแพงสู่ตำนานที่เล่าขานกันมานั้นก็หายไป และนี่คงเป็นที่มาของชื่อถ้ำฝาโถ ซึ่งอยู่ในอาณาบริเวณของเทือกหินเขางู"



เมืองลับแลที่เขากลางตลาดจอมบึง

อาจารย์ สุรินทร์ เหลือลมัย ที่ปรึกษาสำนักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ได้เล่าเกี่ยวกับเมืองลับแล ไว้ใน "ตำนานจอมบึง" ตอนหนึ่งว่า ผู้สูงอายุต่างเล่าต่อๆ กันมาด้วยถ้อยคำธรรมดา ทำนองมุขปาฐะ คือจากปากต่อปาก ไม่ทราบว่าผู้เล่าดั้งเดิมเป็นใคร มักจะอ้างว่าเป็นของเก่า ฟังจากผู้เล่าที่เป็นบุคคลสำคัญยิ่งในอดีตอีกต่อหนึ่ง  ทุกครั้งมักเล่าเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนี้

     “วันดีคืนดี ชาวบ้านจะได้ยินเสียงมโหรีพิณพาทย์ลาดตะโพนดังแว่วมาจากเพิงผาหน้าถ้ำ อันเป็นดินแดนลี้ลับของเขากลางตลาด  ที่นั่นเป็นเขตแดนของชาวเมืองลับแล  สมัยก่อนนานมาแล้ว เวลาชาวบ้านจะมีงานเลี้ยงในหมู่บ้าน จะไปขอยืมถ้วยโถโอชามจากชาวเมืองลับแล โดยครั้งแรกจะบนบานไว้ก่อนว่าต้องการยืมของอะไรบ้าง  รุ่งขึ้นก็จะมีสิ่งของที่ขอยืมวางไว้ให้พร้อม  ชาวบ้านใช้งานเสร็จเมื่อไรก็ทำความสะอาด แล้วนำส่งคืนที่เดิมภายในถ้ำ ทุกรายจะปฏิบัติเช่นนี้เสมอ
      แต่แล้วมีรายหนึ่งเล่นไม่ซื่อ เกิดความละโมบโลภมาก อยากได้บางสิ่งไว้ใช้ตลอดไป จึงส่งของคืนไม่ครบจำนวน ชาวลับแลไม่พอใจ ถือว่าทำผิดกติกาอย่างแรง ตั้งแต่นั้นมา แม้ชาวบ้านจะบนบานสักเท่าไร ก็ไม่มีสิ่งของออกมาวางไว้ให้ยืมอีก ปากถ้ำก็เลื่อนลงมาปิดสนิท เหลือเพียงเรื่องเล่าสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน”


นิทานเรื่องนี้เคยแพร่หลายอยู่ในหลายอำเภอของเมืองราชบุรี ตลอดจนจังหวัดอื่นๆ ด้วย เค้าโครงเรื่องหลวมๆ เอื้อให้สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหารายละเอียดที่ต้องการสื่อความหมายได้ง่าย จึงถ่ายทอดจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งได้ อ.สุรินทร์ ยังเขียนต่อถึงการเล่าขานเกี่ยวกับตำนานเมืองลับแลในราชบุรี ว่ามีอีกหลายแห่ง



   
เรียบเรียงโดย ปิยะนัย เกตุทอง
http://www.tnews.co.th/contents/435619
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ