« เมื่อ: เมษายน 20, 2018, 07:34:59 am »
0
เราจะทำให้จิตของเรา เกิดความรอบรู้หรือปัญญา ได้อย่างไรคะ.?ถาม : เราจะทำให้จิตของเราเกิดความรอบรู้หรือปัญญาได้อย่างไรคะ
ตอบ : วิธีง่ายๆ ก็คือ นำสติของเราไปตามดู ตามรู้…อย่างแรกคือเอาสติไปตามดูตามรู้ร่างกาย ต่อไปคือเอาสติไปตามดูตามรู้จิตใจ
การตามดูตามรู้ร่างกาย คือ การรู้เท่าทันกาย อย่างการยืน เดิน นอน นั่ง คู้ เหยียด เคลื่อนไหว หรืออิริยาบถอื่นๆ กายทำอะไร เราต้องเข้าไปใส่ใจดูอากัปกิริยาต่างๆ ของร่างกาย เมื่อตามดูไปบ่อยๆ ใจของเราก็จะเริ่มมีสติสัมปชัญญะคือเริ่มรู้สึกตัวเองมากขึ้นว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ เพราะบางครั้งเวลาทำอะไร เรามักไม่มีสติหรือไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่
@@@@@@
ต่อมาคือ การตามดูตามรู้จิตใจ คือ การใส่ใจตามดูความรู้สึก มองให้เห็นความรู้สึกของเราว่า ตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร โกรธ เกลียด รัก ฯลฯ พอเรามองความรู้สึกบ่อยๆ ก็จะเห็นว่าความรู้สึกเป็นการเกิด – ดับ อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ คือ ความรู้สึกของเราเกิดขึ้นมาทีละความรู้สึกไม่ซ้อนกัน สมมุติว่าเรากำลังโกรธอยู่ แต่พอมีใครโทรศัพท์เข้ามา เราจะคิดถึงบุคคลคนนั้นทันทีเลยนะ ความรู้สึกโกรธจะดับไป การที่เรามองเห็นความรู้สึกเกิด – ดับนั่นแหละ ที่เรียกว่าปัญญา
การที่เราตามดูจิตใจหรือความรู้สึกนี่มีประโยชน์มาก เพราะคนเราพอไปรู้จักสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือคนใดคนหนึ่ง มักชอบเอาใจไปเกาะติดหรือยึดติด ทำให้เกิดผูกพันขึ้นมา บางทีก็ไปชอบเขา บางทีก็เกลียดเขา จนเป็นทุกข์…ความรู้สึกนี้เกิดเพราะเรามัวไปเกาะติดอยู่กับเรื่องนั้นๆ จิตของเราก็มีอยู่แค่นี้ ชอบ ไม่ชอบ ชอบก็อยากเข้าไปหา ไม่ชอบก็จะดันออกไป มีแต่ดึงกับดันอยู่อย่างนี้ พอเราเอาใจไปเกาะติด ตัวเราก็จะสาละวนอยู่กับคนนั้นๆ หรือเรื่องนั้นๆ
@@@@@@
ดังนั้น เราจึงต้องแยกให้ออกว่า ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นอย่างหนึ่ง เรื่องต่างๆ ที่ทำให้ใจเราเกิดความรู้สึกเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรากลับมามองดูความรู้สึกเราในขณะนั้น ไม่ไปมองดูตัวเรื่อง เรื่องที่เราคิดเกาะติดอยู่จะถูกทิ้งไปเลย เช่นถ้าเราคิดถึงเพื่อนคนใดคนหนึ่งอยู่…พอมองดูตัวจิต ใจก็จะหยุดคิดถึงเพื่อน ถูกไหม…
แต่ถ้าความรู้สึกเดิมๆ เกิดขึ้นอีก ก็ให้เรามองเข้าไปในความรู้สึกนั้นอีก ดูการเกิด – ดับ เกิด – ดับไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเราจะสามารถวางเฉยกับเรื่องนั้นได้ พอวางเฉยได้ เราก็จะไม่ทุกข์อีกเลย
ธรรมะจากพระอาจารย์มานพ อุปสโม : พระอาจารย์ผู้ไขปัญหา
ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/7458.html