ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ให้ทานอย่างไรให้เป็น ” ทานแท้ ” ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง  (อ่าน 904 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29359
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ให้ทานอย่างไรให้เป็น ” ทานแท้ ” ไม่ใช่เพียงแค่เป็นการลงทุนชนิดหนึ่ง


หาคำตอบเรื่อง ” ทานแท้ ” กับ ท่าน ว.วชิรเมธี

ในอดีตกาลนานไกล มีมานพหนุ่มคนหนึ่งไปฟังธรรมที่วัด ครานั้นชายหนุ่มคนนี้ได้เห็นพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือกันว่าเป็นแม่ทัพแห่งกองทัพธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังถวายงานอยู่ จากการเห็นพระอัครสาวกรูปนั้นทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจว่า อยากจะเป็นเช่นนั้นบ้าง ท่านจึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “สาธุ ด้วยทานที่ลูกทำนี้ เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้ลูกได้เป็นอัครสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด”

การอธิษฐานอย่างนี้ไม่ได้เกิดจากแรงจูงใจคือความโลภ แต่เป็นการอธิษฐานเพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นอริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการอธิษฐานเพื่อเลื่อนคุณภาพจิตของตนเองให้สูงขึ้นจากปุถุชนเป็นอริยชน เป็นการอธิษฐานเพื่อให้ตนได้บำเพ็ญประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติอธิษฐานอย่างนี้เกิดจากธรรมฉันทะ ซึ่งถือกันว่าเป็นแรงจูงใจใฝ่สร้างสรรค์ เป็นแรงจูงใจในเชิงบวก เป็นแรงจูงใจที่ถูกต้องผลแห่งแรงอธิษฐานนี้ทำให้ต่อมาท่านได้เกิดเป็นพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

@@@@@@

พระสาวกอีกรูปหนึ่งที่ตั้งสัตยาธิษฐานแล้วได้สมปรารถนาคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ในอดีตชาตินั้น เมื่อท่านทำบุญแล้ว ท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นสาวกคนต้น ๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง” เหตุผลก็เพราะว่า ท่านถวายทานยอดข้าว พูดง่ายๆว่า เมื่อเสร็จจากฤดูการทำนาแล้วได้ข้าวสารมาใหม่ ๆ เขาเรียกว่าเป็นข้าวอันเลิศ 

ทางเมืองเหนือยังมีประเพณีนี้อยู่เขาเรียกว่าประเพณีถวายข้าวใหม่ (ทานข้าวใหม่) คือเมื่อเสร็จฤดูการทำนาแล้วชาวบ้านจะยังไม่เอาข้าวนั้นมาหุงหาอาหารเพื่อตนเอง แต่จะเอาข้าวนั้นมาหุงหาทำอาหาร แล้วเอาข้าวสวย ข้าวเหนียวซึ่งเป็นข้าวจานแรก ข้าวก้อนแรก ข้าวกระติบแรกที่ได้จากการทำนาในปีนั้น ๆ ไปน้อมถวายพระสงฆ์ แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษ เรียกว่าประเพณีทานข้าวใหม่ “ทาน” ในที่นี้ก็คือ “ถวาย” นั่นเอง ประเพณีถวายข้าวใหม่นั้นหมายถึงของที่ดีที่สุด ข้าวที่ดีที่สุด ตัวเองจะยังไม่กินถ้ายังไม่ได้ถวายพระสงฆ์

@@@@@@

ในอดีตกาลก็เหมือนกัน ท่านอัญญาโกณฑัญญะถวายทานข้าวใหม่อย่างนี้ แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า “เนื่องจากข้าวใหม่ที่ถวายนี้เป็นข้าวอันเลิศ เป็นข้าวก้อนแรกเป็นข้าวสวยจานแรกที่ได้จากนาที่ลงแรงลงกำลังทำมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานอันบริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่ว่า ข้าพเจ้าได้น้อมถวายข้าวอันประเสริฐ เป็นเลิศ เป็นยอดขอให้กุศลผลบุญนี้ อำนวยอวยชัยให้ข้าพเจ้า จงได้เป็นสาวกคนที่หนึ่งของพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลนานไกลด้วยเทอญ”

ปรากฏว่า ด้วยทานชนิดนี้หรือด้วยแรงปรารถนานั้น ท่านได้กลายเป็นปฐมสาวก หมายถึง สาวกคนที่หนึ่งที่ตรัสรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ


@@@@@@

เพราะฉะนั้นคนสมัยก่อนเวลาท่านทำบุญให้ทาน ท่านอธิษฐานหาคุณภาพชีวิตอธิษฐานเพื่อการพัฒนาตนเองให้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐเลิศล้ำ อธิษฐานด้วยแรงจูงใจที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่ใช่อธิษฐานด้วยความโลภ เช่น “สาธุ ขอให้ได้จากัวร์สักคันขอให้ได้ครอบครองเครื่องบินเจ็ตสักลำหนึ่งหรือสาธุ ขอให้รวยสักสิบล้าน ยี่สิบล้านภายในปีนี้ด้วยเทอญ”

การอธิษฐานอย่างนี้ถือว่าเป็นการอธิษฐานด้วยอำนาจของความโลภ กลายเป็นการเอากิเลสอ่อนไปแลกกิเลสแก่ ทำให้ทานที่ทำไม่บริสุทธิ์ เป็นแต่เพียงการลงทุนทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง

คนโบราณนั้นเมื่อทำบุญแล้ว ท่านมักอธิษฐานว่า
“สาธุ พระคุณเจ้าได้เห็นธรรมอันใด ขอให้ข้าพเจ้าจงได้เห็นธรรมอันนั้นเช่นเดียวกันกับพระคุณเจ้าด้วยเถิด”

@@@@@@

นี่คือ การอธิษฐานเพื่อให้ได้ดวงตาเห็นธรรมหรืออธิษฐานเพื่อให้ได้เป็นพระโสดาบัน นี่คือ วิธีอธิษฐานที่ถูกต้อง ไม่เหมือนคนสมัยนี้ ทำบุญอย่างหนึ่ง อธิษฐานขอร้อยแปดพันเก้า ยิ่งอธิษฐาน ความโลภก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น มากขึ้น ยิ่งเข้าวัดกิเลสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มากขึ้น กิเลสไม่ได้ลดลง ความโลภไม่ได้ลดลง การให้ทานจึงเป็นการลงทุนทางจิตวิญญาณชนิดหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นถ้าจะให้ทานโดยเฉพาะวัตถุทานให้ถูกต้อง เราต้องให้เพื่อกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียว ตั้งเจตนารมณ์ให้เป็นบุญเป็นกุศลแล้วให้ทาน

หากทำได้อย่างนี้ นี่แหละคือการทำทานที่ถูกต้อง
เมื่อทำถูกต้องแล้ว แม้วัตถุจะน้อยนิดแต่อาจให้ผลสัมฤทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล 



ขอบคุณที่มา
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/5554.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ