จากเสียงเตือนในนรก สู่ “คาถาหัวใจเปรต” สวดกันผีรังควาญ ขับวิญญาณร้ายออกจากร่าง.. พร้อมเผยที่มาแฝงคติเตือนผู้ชาย อย่าคิดเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน
เรื่องของคาถาอาคมนั้นมีอยู่อย่างหลากหลาย โดยบางส่วนก็ได้นำมาจากเรื่องราวในธรรมบท เช่น คาถาหัวใจเปรต “ทุ สะ นะ โส” โดยมีที่มาจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ เรื่องบุรุษคนใดคนหนึ่ง ความตอนหนึ่งได้กล่าวถึง เรื่องของเปรตผู้กล่าวอักษร ทุ. สะ. นะ. โส.
ซึ่งจะขอกล่าวโดยย่อ คือ เมื่อครั้งหนึ่ง “พระเจ้าปเสนทิโกศล” ได้มีความคิดล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น และคิดว่าหากสว่างแล้วจะให้ฆ่าบุรุษผู้นั้นเสีย (ซึ่งเป็นสามีของหญิงคนดังกล่าว) แล้วนำหญิงคนนั้นมาเป็นภรรยาของตน ระหว่างนั้นเอง พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ยินเสียง “ทุ สะ นะ โส” ดังกังวานขึ้นมาอย่างน่าหวาดกลัว รุ่งเช้าท่านจึงปรึกษากับปุโรหิต ได้ความว่าพระองค์อาจมีภัยอันตราย จึงแนะนำให้บูชายันต์ด้วยสัตว์ต่างๆ แล้วจะพ้นจากอันตราย เหตุนี้ทำให้ผู้คนต้องเดือดร้อนเป็นอันมาก ความนี้ได้ทราบถึงพระนางมัลลิกา พระนางจึงได้พาพระเจ้าปเสนทิโกศลเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อทูลถามถึงเสียงอันน่าหวาดกลัว
@@@@@@
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ทุ สะ นะ โส เป็นเสียงร้องของสัตว์นรก ๔ ตน ที่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในชั้นโลหกุมภีนรก ถูกไฟนรกมอดไหม้ทั้งร่างกายกลิ้งไปมาอยู่ภายในหม้อทองแดงที่กำลังเดือดพล่าน จมลงไปถึงพื้นภายใต้ก้นหม้อ ๓ หมื่นปี แล้วลอยขึ้นมาถึงที่ขอบปากหม้ออีก ๓ หมื่นปี สัตว์นรกเหล่านั้นยกศีรษะขึ้นแลดูกันและกันแล้ว ปรารถนาเพื่อจะกล่าวคาถาตนละคาถา แต่ไม่อาจจะกล่าวได้ จึงกล่าวได้ตนละอักษร แล้วหมุนกลับไปสู่โลหกุมภีอย่างเดิม
สำหรับสัตว์นรกทั้ง ๔ ตน ในสมัยยังเป็นมนุษย์นั้น เกิดเป็นลูกของเศรษฐี แต่ทำกรรมชั่วโดยล่วงเกินภรรยาของผู้อื่น เมื่อตายไปแล้วจึงต้องตกนรกในอเวจีมหานรก เมื่อหมดกรรมจากอเวจีมหานรก เศษกรรมที่เหลืออยู่ ทำให้พวกเขาต้องมาชดใช้ทนทุกข์ทรมานในชั้น โลหกุมภีนรกต่อ พวกเขาได้สำนึกในบาปกรรมที่ทำ และต้องการประกาศว่า หากตนได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งจะหมั่นทำแต่ความดี เลิกทำความชั่ว แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ได้พูดตามสิ่งที่ตนต้องการ
เมื่อโผล่พ้นขึ้นมาจากกระทะทองแดงเพียงเสี้ยววินาที ก็พูดได้แค่ตนละคำเท่านั้น คือ
สัตว์นรกตนที่ ๑ พูดคำว่า ทุ
สัตว์นรกตนที่ ๒ พูดคำว่า สะ
สัตว์นรกตนที่ ๓ พูดคำว่า นะ
สัตว์นรกตนที่ ๔ พูดคำว่า โส
แต่ละตนพูดได้คำเดียวก็จมลงไป
โดย ความหมายของ ทุ สะ นะ โส ที่สัตว์นรกต้องการจะกล่าวนั้นมีดังนี้
เสียงที่ ๑. ต้องการกล่าวคาถาที่ชื่อว่า (ทุ) ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสนฺโน น ททามฺห เส วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีปํ นากมฺห อตฺตโนติ ฯ
เราทั้งหลายเหล่าใด เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ ไม่ได้ถวายทาน, ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน, พวกเราเหล่านั้น จัดว่ามีชีวิตอยู่ชั่วช้าแล้ว.
เสียงที่ ๒. (สะ) สฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ สพฺพโสนิรเย ปจฺจมานานํ กทา อนฺโต ภวิสฺสติ
เมื่อเราทั้งหลาย ถูกไฟไหม้อยู่ในนรกครบ ๖ หมื่นปี โดยประการทั้งปวง, เมื่อไร ที่สุดจักปรากฏ
เสียงที่ ๓. (นะ) นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ ตทา หิ ปกตํ ปาปํ มม ตุยฺหญฺจ มาริสา ฯ
ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ที่สุดย่อมไม่มี, ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน? ที่สุดจะไม่ปรากฏ. เพราะว่ากรรมชั่ว อันเราและท่านได้กระทำไว้แล้วในกาลนั้น.
เสียงที่ ๔. (โส) โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานุสึ วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน กาหามิ กุสลํ พหุนฺติ
เรานั้นไปจากที่นี่แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้รู้ ถ้อยคำที่ยาจกกล่าว ถึงพร้อมด้วยศีล ทำกุศลให้มากแน่.
ส่วนสาเหตุที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยินเสียงร้องของสัตว์นรก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เสียงนี้เป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกให้เลิกทำความชั่วและทำแต่ความดี พร้อมเล่าเรื่องราวของสัตว์นรกทั้งสี่ตน ที่ต้องไปเกิดในแดนนรกเพราะเคยล่วงเกินภรรยาผู้อื่นสมัยยังเป็นมนุษย์ เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทราบแล้ว จึงเลิกความคิดที่จะอยากได้ภรรยาผู้อื่น
จาก “ทุ สะ นะ โส” ที่ปรากฏนี้เอง ทำให้ผู้ทรงเวทย์ในยุคต่อมาได้นำมากล่าวเป็น “คาถาหัวใจเปรต” โดยสวดท่องเมื่อยามที่ต้องผจญกับฤทธิ์ของผีเปรต ทำให้ผีเปรตเกิดความเกรงกลัว หรือแม้แต่ผีชนิดต่างๆที่จะเข้ามารังควาญก็เกรงกลัวคาถานี้ และยังใช้สวดขับไล่วิญญาณที่ชั่วร้าย ผีร้ายที่เข้ามาสิงสู่ในร่างของมนุษย์ได้อีกด้วย
ฉะนั้นคาถาหัวใจเปรต “ทุ สะ นะ โส” จึงไม่เพียงแต่มีอิทธิฤทธิ์ที่ทำให้ผีเกรงกลัวเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยคติธรรมเตือนใจผู้ชายทั้งหลาย ว่า “อย่าคิดเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน” ไม่เช่นนั้นต้องตกนรกหมกไหม้ กลายเป็นเพื่อนของสัตว์นรกอีกหลายตนที่กำลังรับกรรมจากการกระทำชั่วเหล่านี้อ้างอิงข้อมูลจาก : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕ เรื่องบุรุษคนใดคนหนึ่ง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=15&p=1และขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก :
http://puredhamma.com/1701a0918mo/ เครดิตภาพ : Napapawn
เรียบเรียงโดยนภาพร เครือชัยสุ
http://inter.tnews.co.th/contents/453393