« เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2018, 05:35:35 am »
0
บิล เกตส์ สอนลูกอย่างไร.? บทความน่าคิดจาก ท่าน ว.วชิรเมธีเมื่อหลายปีก่อน นิตยสาร ไทม์ ซึ่งเป็นนิตยสารที่ทรงอิทธิพลของโลกยกย่องให้ บิล เกตส์ พร้อมด้วยภรรยาของเขา และนักร้องร็อคสตาร์โบโน่เป็น “บุคคลแห่งปี” ทั้งนี้ทางกองบรรณาธิการให้เหตุผลว่า ที่บิล เกตส์และภรรยาของเขา (รวมทั้งโบโน่) ได้รับคัดเลือกนั้นไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาคือ “อภิมหาเศรษฐีของโลก” หากแต่เป็นเพราะพวกเขาคือ “ผู้ให้รายใหญ่ที่สุดของโลก” ต่างหาก
หลังประสบความสำเร็จในฐานะนวัตกรผู้คิดค้นนวัตกรรมตระกูลไมโครซอฟท์ และในฐานะมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกต่อเนื่องกันมาหลายปี จนเขาไม่ตื่นเต้นกับทรัพย์สินของตัวเองอีกต่อไปแล้ว บิล เกตส์ตัดสินใจก่อตั้งมูลนิธิในชื่อของเขาและภรรยาเพื่อร่วมกันทำงานการกุศล โดยมุ่งเน้นไปที่การช่วยเหลือประชากรในโลกที่สาม ที่ยังอัตคัดขัดสน และส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาของอเมริกา เขามีความฝันว่า ด้วยศักยภาพแห่งมูลนิธิของเขา น่าจะช่วยทำให้โรคโปลิโอหายไปจากโลกนี้ได้ภายใน 6 ปีเหมือนกับที่ครั้งหนึ่งโรคไข้ทรพิษเคยถูกมนุษย์พิชิตสำเร็จมาแล้ว
@@@@@@
นอกจากนั้น ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขากับเพื่อนต่างวัยที่ใคร ๆ ก็รู้จักคือวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังร่วมกันก่อตั้งโครงการ The Giving Pledge อันเป็นโครงการที่ชวนมหาเศรษฐีจากทั่วโลกมาร่วมกันทำงานการกุศลภายใต้แคมเปญ “สัญญาว่าจะให้” หมายถึง การมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งที่ตัวเองมีอยู่ เพื่อการกุศลก่อนหรือหลังการล่วงลับของตนเองก็ได้ ในการทำโครงการนี้ให้เป็นโครงการระดับโลก เขาลงทุนเดินทางไปชักชวนเพื่อนเศรษฐีจากทั่วโลกให้มาร่วมกัน “ทำโลกนี้ให้ดีกว่าเดิม” ปรากฏว่า โครงการนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
นับแต่หันมาทำงานการกุศล ชื่อเสียงของบิล เกตส์ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผิดจากยุคแรกที่มีแต่คนก่นด่าและไม่ชอบหน้า ถึงขนาดที่เขาเคยถูกประชาคมเศรษฐกิจยุโรปและกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกาเอง เป็นโจทก์ฟ้องร้องตัวเขาและบริษัทในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่ทำธุรกิจแบบผูกขาด
@@@@@@
ว่ากันว่า นอกจากจะเป็นเพราะเขารวยจนหมดความท้าทาย บวกกับการตกผลึกจากประสบการณ์ตรงว่า ความรวยที่มีความเห็นแก่ตัวเป็นตัวขับเคลื่อนอย่างแรงกล้า มีแต่จะทำให้เขาถูกเกลียดมากกว่าถูกรักแล้ว เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาหันมาสนใจงานการกุศลก็คือ คำเตือนจากแม่ของเขาเองที่บอกว่า “ใครก็ตามที่ได้รับอะไรไปจากโลกมากๆ โลกก็คาดหวังว่าเขาควรจะให้คืนในอัตราที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน”
ในมุมกลับกัน เราอาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
ใครที่ได้รับไปจากโลกมาก แต่ไม่เคยคืนอะไรดีๆให้กับโลกเลย โลกก็มีวิธีทวงคืนที่สาสมเหมือนกัน แต่จะสาสมแบบใด วิญญูชนย่อมรู้ได้เองอยู่แล้ว
@@@@@@
อนึ่ง คนที่ฉลาดระดับอัจฉริยะอย่างบิล เกตส์ ย่อมรู้ดีว่าทรัพย์สินเป็นเพียงมายา ประโยชน์ที่รังสรรค์ฝากไว้แก่เพื่อนมนุษย์ต่างหากคือความจริงที่ควรค่าแก่การจดจำ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาในบั้นปลายของชีวิต (ซึ่งยังไม่แก่เท่าไร) เพื่อประโยชน์สุขของมนุษยชาติมากกว่าการทุ่มเทให้ธุรกิจเพียงอย่างเดียวเหมือนตอนวัยหนุ่ม
บิล เกตส์ ในวัยเกือบหกสิบปี ผ่านโลกมามากพอที่จะรู้ว่า อะไรคือแก่น อะไรคือเปลือกของชีวิต ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดโลกทัศน์ที่ตกผลึกจากประสบการณ์แก่ลูกๆของเขา ในแบบที่เขาคิดว่าดีที่สุดสำหรับลูก
หลายคนคงสงสัยว่าบิล เกตส์ สอนลูกอย่างไร.?
@@@@@@
คอลัมน์ “คลุกวงใน” ของคุณพิศณุ นิลกลัด เรียบเรียงมาถ่ายทอดไว้ ดังนี้
“บิล เกตส์ เผยถึงกฎเหล็กที่ใช้กับลูกทั้ง 3 คน คือ เจนนิเฟอร์, รอรี่ และฟีบี้ อายุ 17, 14 และ 11 ปีตามลำดับ คือ ห้ามลูกๆ มีโทรศัพท์มือถือจนกว่าอายุครบ 13 ปี โดยตอนนี้ฟีบี้ลูกสาวคนสุดท้องยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ซึ่งลูกบอกว่า อับอายเพื่อนเป็นที่สุด
“บิล เกตส์ ยอมรับว่า การจับตาพฤติกรรมออนไลน์ของลูกเป็นเรื่องที่ยากสำหรับพ่อแม่สมัยปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องขอพาสเวิร์ดเฟซบุ๊กและอีเมลของลูกคนกลางและคนสุดท้องไว้คอยเช็กแอ๊คเคานต์ของลูก เพราะไม่ต้องการให้ลูกติดต่อสื่อสารในเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทาง
“ส่วนลูกสาวคนโตนั้น พ่อไม่ได้ขอพาสเวิร์ด เพราะเป็นตัวของตัวเองแล้ว
@@@@@@
“วิธีการเลี้ยงลูกของบิล เกตส์ ก็ไม่หรูหราฟุ่มเฟือยแบบมหาเศรษฐีทั่วไป โดยบิล เกตส์ บอกว่า สมบัติมหาศาลที่มี ซึ่งจากการประเมินล่าสุดโดยนิตยสาร ฟอร์บส์อยู่ที่ 65,000 ล้านดอลลาร์ หรือสองล้านล้านบาท หากยกให้ลูกทั้งหมด ถือเป็นการใช้ความมั่งมีในทางที่ผิด ไม่ดีต่อตัวลูกเองและสังคม ดังนั้นลูก ๆ ต้องรู้จักหาเงินตามวิถีทางของตัวเอง
“สิ่งที่บิล เกตส์ สามารถให้อย่างไม่สิ้นสุดก็คือการศึกษา อยากเรียนอะไรพ่อจ่ายค่าเล่าเรียนให้ ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เกี่ยวกับสุขภาพ พ่อจะดูแลทั้งหมด แต่เรื่องรายได้นั้น ลูกๆต้องหางานที่ตัวเองรักเพื่อเลี้ยงตัวเอง ณ เวลานี้ลูกๆ ก็ต้องรู้จักทำงานบ้านเพื่อได้เงินค่าขนม
“บิล เกตส์ บอกว่า ตัวเองไม่มีคนขับรถประจำ ไปไหนมาไหนขับรถเอง ซึ่งรถที่ใช้ประจำคือ เบนซ์ S-Class สีเขียวไม่ติดฟิล์ม ส่วนรถอื่นๆ ก็มี 3 คัน คือ เลกซัส ปอร์เช่ และมินิแวน
@@@@@@
“สำหรับไอโฟน ไอแพ็ด และไอพ็อดนั้น ลูกๆทั้งสามคนก็อยากได้ แต่บิล เกตส์และเมลินดาห้ามไม่ให้ใช้ โดยเมลินดาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ความร่ำรวยของครอบครัวมาจากไมโครซอฟท์ ดังนั้นจะเอาเงินไปให้คู่แข่งได้อย่างไร
“แม้เมลินดาจะห้ามลูกใช้ไอโฟน แต่เธอก็ยอมรับว่าเวลาเห็นเพื่อนๆใช้ไอโฟน ก็เกือบอดใจซื้อไม่ได้อยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี เมื่อสองปีก่อนมีปาปารัซซี่แอบถ่ายภาพเจนนิเฟอร์ ลูกสาวคนโตถือไอโฟนอยู่ในมือขณะเดินออกกำลังกายกับแม่ไว้ได้
“แม้บิล เกตส์ ไม่ต้องการให้ลูกใช้ไอโฟน แต่ก่อนที่สตีฟ จ็อบส์ จะเสียชีวิตบิล เกตส์ ได้มีโอกาสไปเยี่ยมและใช้เวลาพูดคุยกันหลายชั่วโมง เพื่อรำลึกถึงอดีตและพูดถึงเรื่องอนาคต โดยบิล เกตส์ได้บอกกับสตีฟ จ็อบส์ ว่า เขาควรภูมิใจกับสิ่งต่างๆ ที่เขาได้สร้างสรรค์ไว้และกับความสำเร็จของแอปเปิล
@@@@@@
“การพูดคุยกับสตีฟ จ็อบส์ ในวันนั้นบิล เกตส์ บอกว่า ไม่ได้เป็นการพยายามสร้างสันติ เพราะเขาทั้งสองไม่เคยมีเรื่องทะเลาะบาดหมางกัน ต่างคนต่างสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ชั้นยอด ซึ่งการแข่งขันนั้นเป็นเรื่องดีเสมอ”
การสอนลูกของบิล เกตส์ แฝงนัยสำคัญอะไรเอาไว้ ลองช่วยกันพิจารณาเอาเองเทอญ ขอบคุณภาพจาก historythings.com
ขอบคุณที่มา :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/inspiration/40016.html#cxrecs_s
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2018, 06:13:57 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ