เจอ “เทวดา” ประสบการณ์จากการเดินธุดงค์ประสบการณ์จากการเดินธุดงค์ – หลังจากออกพรรษาและได้ไปร่วมงานทอดกฐินของวัดสาขาต่าง ๆ แล้ว ทั้งพระและเณรต่างก็ใจจดใจจ่ออยู่กับการเดินธุดงค์ รวมทั้งข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าจะคอยแวะเวียนไปถาม พระอาจารย์อ๊อด ผู้นำทางในการเดินธุดงค์ครั้งนี้ว่า เราต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องทำอย่างไรบ้าง ระหว่างทางจะเจออะไรบ้าง ตอนกลางคืนจะปักกลดกันที่ไหน และต้องปฏิบัติตัวกันอย่างไร พระอาจารย์อ๊อดก็ได้แต่บอกว่า เมื่อได้ออกธุดงค์แล้วก็จะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร
เสียงไก่ขันพร้อมกับเสียงครกกระเดื่องตำข้าวดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าใกล้เช้าแล้ว แต่ข้าพเจ้าตื่นก่อนเสียงนั้น เพื่อทำวัตรเช้าและทำความเพียรดังคำสอนของท่านพระอาจารย์ ชา สุภทฺโท คือ “ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็ทำ”
@@@@@@
จิตใจตอนนี้รู้สึกเหมือนเด็ก ๆ ที่รู้ว่าจะได้ไปเที่ยวกับครอบครัว ข้าพเจ้ามองไปรอบ ๆ กุฏิเหมือนว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ขณะเดินบิณฑบาต จิตก็ปรุงแต่งเรื่องการเดินธุดงค์ คิดว่าเวลาไปเดินธุดงค์จะทำอย่างไร จะมีญาติโยมมาใส่บาตรไหม ถ้าไม่มีจะทำอย่างไร จะอดตายไหม จิตมันคิดวุ่นวายไปหมด
หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็จัดการเก็บเอาบริขารต่าง ๆ ใส่ลงไปในบาตร กราบพระประธาน กราบครูบาอาจารย์ แล้วการเดินธุดงค์ก็เริ่มขึ้น ณ วินาทีนั้น เรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังมาเกี่ยวกับการธุดงค์จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เราไม่รู้ แต่ตอนนี้เรากำลังจะได้พบกับสิ่งที่ครูบาอาจารย์เคยบอกเคยสอนว่า ธรรมะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ขึ้นอยู่กับตัวเราว่าพร้อมจะรับรู้หรือเปล่าว่านี่คือธรรมะ เพราะบางครั้งเราก็ปล่อยผ่านไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือธรรมะ
ข้าพเจ้าก้าวเท้าออกจากวัดด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นจะหาประสบการณ์จากการเดินธุดงค์ ไหล่ซ้ายสะพายถุงบาตรพร้อมกับกระติกน้ำ ไหล่ขวาสะพายย่ามพร้อมกับกลด สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่สูงตระหง่านเต็มไปทั้งภูเขา ข้าพเจ้าเดินไปเรื่อย ๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ขณะที่ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าทิ้งระยะห่างจากพระอาจารย์มากขึ้น ๆ แต่สักพักก็เจอพระอาจารย์ดักรออยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
@@@@@@
“หาทางออกไม่เจอเลยท่านเก่ง เรามาผิดทางแล้ว ทางลงก็ชันมาก แต่ลงไปจะเจอแม่น้ำปาย เราคงต้องพักที่นี่ก่อน เพราะจะมืดค่ำแล้ว ถ้าเดินตอนค่ำเดี๋ยวจะไปกันใหญ่” พระอาจารย์พูดจบก็เอาบริขารของข้าพเจ้าไปสะพาย ข้าพเจ้าต้องเดินลงด้วยความระมัดระวัง เพราะข้างทางลงเป็นหน้าผา (พูดแล้วยังเสียวอยู่เลย) พอลงมาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย พระอาจารย์ก็ยื่นบริขารทั้งหมดให้แล้วบอกว่า
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้หาที่ปักกลดกันก่อนเถอะ” ข้าพเจ้าพนมมือไหว้ขอบคุณพระอาจารย์ พลางคิดว่า…สิ่งที่ ไม่อยากเจอก็ดันเจอ ไม่เป็นไร…ถือว่าเป็นประสบการณ์
หลังจากเดินหลงป่าเป็นเวลาสองวัน ขา้พเจ้ารู้สึกอ่อนเพลียมาก เพราะไม่ได้ฉันอะไรเลย นอกจากน้ำและน้ำผสมน้ำตาลทราย ข้าพเจ้าจัดการกางกลดและสรงน้ำเหมือนปกติ แล้วนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์อ๊อด ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยอ่อนเพลียมากนัก
@@@@@@
“เป็นไงบ้างล่ะ เดินธุดงค์ก็หลงป่า แถมต้องขึ้นเขาด้วย ที่สำคัญข้าวก็ไม่ได้ฉัน ยังมีแรงอยู่ไหมล่ะ” พระอาจารย์ถามข้าพเจ้าด้วยความเป็นห่วง
“ยังได้อยู่ครับ เพราะตอนเข้าพรรษาเคยอดข้าว 15 วัน…แค่นี้พอไหวครับ”
วันต่อมา เราเดินธุดงค์กันไปเรื่อย ๆ วันนี้ยิ่งเดินก็ยิ่งหิว ตอนอดข้าว 15 วันยังไม่หิวและอ่อนเพลียขนาดนี้ คงเพราะอยู่ที่วัด เราไม่ได้ทำงานหนัก อย่างมากก็แค่ทำกิจสงฆ์กวาดถูศาลาเท่านั้นเอง แถมที่วัดยังมีน้ำปานะให้ฉัน แต่นี่ไม่มีอะไรเลย นอกจากน้ำตาลทรายและน้ำเปล่า หนำซ้ำยังใช้พลังงานมากกว่าตอนอยู่วัดเสียอีก วันแรกที่หลงป่าอยากฉันแมคโดนัลด์ แต่วันนี้ไม่อยากฉันอะไร แม้จะหิวสักแค่ไหนก็ตาม สักพักพระอาจารย์เดินมาพร้อมรอยยิ้ม และบอกกับข้าพเจ้าว่า
@@@@@@
“ท่านเก่งวันนี้เราหลงทางอีกแล้วนะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกครับอาจารย์ หลงทางมาสองวันแล้ว หลงอีกวันจะเป็นไร ผมทำใจไว้แล้วครับ”
“คิดขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่คิดว่าเราจะออกไปกันได้เลยเหรอ” พระอาจารย์ถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสู้ดีนัก ทำเอาขา้พเจ้ารู้สึกผิดที่พูดออกไปโดยไม่ทันคิด นี่แหละหนาที่หลวงปู่ชาท่านบอกว่า “อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังคำพูด” ข้าพเจ้ารู้สึกผิดมาก เพราะความเบื่อหน่ายและท้อแท้จึงทำให้พูดออกไปเช่นนั้น
“แต่ไม่เป็นไรนะท่านเก่ง ถึงแม้ว่าเราจะหลงทาง แต่ว่าวันนี้เราเจอสิ่งที่ดี”
“สิ่งที่ดีคืออะไรเหรอครับ” ข้าพเจ้าสงสัย
พระอาจารย์อ๊อดยิ้มพร้อมตอบว่า เจอ “เทวดา”
@@@@@@
ข้าพเจ้ารีบเดินจ้ำตามหลังพระอาจารยเ์พื่อที่จะไปพบเทวดา พลางนึกสงสัยว่าเทวดาจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรหนอ จะใช่อย่างที่เราจินตนาการเอาไว้หรือเปล่า เดินไปได้สักพัก ข้าพเจ้าก็ได้พบกับชายแก่ผู้หนึ่งกำลังนั่งทำอะไรสักอย่าง เลยถามพระอาจารย์ว่า “ไหนล่ะครับ…เทวดา”
“ก็อยู่ตรงหน้าท่านเก่งนั่นแหละ”
“อาจารย์ครับ ลุงคนนี้เป็นชาวบ้านธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาเป็นเทวดาสำหรับเรา หมายความว่าเราหลงทางและกำลังต้องการความช่วยเหลือ เราก็เจอแล้ว…นี่ไงเทวดา”
“ผมก็นึกว่าท่านหมายถึงเทวดาที่ใส่ชฎา” พระอาจารย์ตอบผมว่า…
@@@@@@
“ก็ไม่แน่นะท่านเก่ง เทวดาท่านอาจจะปลอมตัวลงมาช่วยเราก็ได้ใครจะไปรู้ ท่านอาจจะทดสอบอารมณ์ท่านเก่ง พอเห็นว่าท่านเก่งพอใช้ได้หรือว่าดีมาก ท่านจึงลงมาช่วย” พูดจบพระอาจารย์อ๊อดก็หัวเราะออกมา…มันก็ไม่แน่เหมือนกันนะ ข้าพเจ้าหัวเราะตาม
จริงๆ แล้วลุงคนนี้เข้ามาหาของป่า เห็นว่าใกล้มืดแล้วเลยพักเสียที่นี่ พอดีพระอาจารย์อ๊อดเดินมาเจอเลยสอบถามเส้นทาง ลุงบอกว่าเรามาผิดทางแล้ว ที่ถูกต้องไปทางซ้าย นี่เรากลับเดินมาทางขวา แต่ไม่เป็นไร เพราะว่าพรุ่งนี้ลุงแกจะพาเราออกไปและตอนเช้าจะใส่บาตรให้ฉัน ได้ยินเท่านั้นข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจมากเหลือเกิน มาฉุกคิดขึ้นด้วยความสงสัยว่า หรือลุงคนนี้จะเป็นเทวดาที่แปลงกายลงมาช่วยข้าพเจ้ากับพระอาจารย์จริง ๆ
ตอนที่เรากำลังลำบาก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คนที่ยื่นมือมาช่วยก็เปรียบเหมือนเป็นเทวดาทั้งนั้นละครับ…และนั่นก็เป็นประสบการณ์การเดินธุดงค์ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไม่มีวันลืม
ที่มา : นิตยสาร Secret , เรื่อง : พัฒนสิทธิ์ ธูปเทียน
Photo by : Jyotirmoy Gupta on Unsplash , Secret Magazine (Thailand)
ขอบคุณเว็บไซต์ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/122157.htmlคอลัมน์ธรรมะ : เจอ “เทวดา” ประสบการณ์จากการเดินธุดงค์
By Alternative Textying ,8 November 2018