ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แค่ขลังไม่พอ ต้องสวยด้วย วิวัฒนาการเครื่องรางของขลัง “ศักดิ์สิทธิ์ หรือ แฟชั่น”  (อ่าน 992 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


แค่ขลังไม่พอ ต้องสวยด้วย.! วิวัฒนาการเครื่องรางของขลัง “ไอเทมศักดิ์สิทธิ์” หรือ "กระแสแฟชั่น"

ความเชื่อเรื่องวัตถุมงคล เครื่องรางของขลังเป็นหนึ่งในสิ่งที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน และคงเป็นเช่นนี้ต่อไปตราบเท่าที่มนุษย์ยังต้องการที่พึ่งพิงบางอย่างในการดำรงชีวิต

เมื่อเวลาผ่านไป โลกขับเคลื่อนไปข้างหน้าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัย เราจึงได้เห็นการ ‘เปลี่ยนแปลง’ ในวงการเครื่องรางของขลังมีการปรับตัวให้กับโลกสมัยใหม่ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในทุก ๆ  ปี

คนที่มีความเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็พร้อมที่จะเชื่อและสรรหาวัตถุมงคลต่าง ๆ มาบูชาอย่างสุดหัวใจสำหรับคนที่ไม่เชื่อ อาจมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ แต่ในอีกแง่หนึ่ง สำหรับคนที่สนใจปรากฏกาณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม การได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเครื่องรางของขลังในแต่ละยุคสมัย ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องน่าสนใจที่สะท้อนความคิด ความเป็นไปในสังคมได้เป็นอย่างดี

@@@@@@

1. จุดเริ่มต้นเครื่องรางของขลังพื้นฐานที่อยู่คู่สังคมไทยมาถึงปัจจุบัน

ไม่มีการบันทึกไว้อย่างแน่ชัด ว่าจุดเริ่มต้นที่มาความเชื่อเรื่องโชคลางและวัตถุมงคลในประเทศไทยนั้นเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่พอจะคาดเดาได้ว่ามีมาช้านานนับจากคัมภีร์ใบลานที่เรียกว่า ‘ปั๊บสา’ สมบัติตกทอดประจำตระกูลของชาวล้านนา ซึ่งจะมีบันทึกเกี่ยวกับ วิชาความรู้ สูตรเด็ดเคล็ดลับต่างๆ เช่น สูตรยา คาถา ยันต์ป้อนกันภัย รวมไปถึงขั้นตอนทำพิธีกรรมปลุกเสกสิ่งของต่างๆ โดยในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศจะมีตำราและความเชื่อทำนองนี้เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะต่างกันที่ภาษาแต่เนื้อหาโดยรวมนั้นคล้ายกันคือ*เสริมสร้างมงคล, เพิ่มความมั่นใจและป้องกันภยันอันตรายให้กับผู้ที่ครอบครอง

นอกจากการหวังผลด้านอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลังบางอย่างยังแฝงกุศโลบายในการชีวิตไว้ได้อย่างแยบยล ยกตัวอย่างสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือ ‘ปลัดขิก’ หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ขุนเพชร’ เครื่องรางที่ทำขึ้นจากไม้หรือโลหะมีลักษณะเหมือนองคชาต ปราศจากหนังหุ้มปลาย ที่นิยมใช้เด็กอายุ 3-4 ขวบใส่

โดยวัตถุประสงค์หลักคือความเชื่อที่ว่าเด็กอายุเท่านั้นอยู่ในช่วงเพิ่งหย่านม มีภูมิคุ้มกันน้อย อาจถูกภูติผีมาหลอกให้เจ็บไข้ได้ป่วย จึงต้องหลอกว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ด้วยการแสงสัญลักษณ์ผ่านองคชาตที่ปลายเปิดไม่มีหนังหุ้มของปลักขิก

แต่กุศโลบายที่แยบกว่านั้นคือ เด็กวัยนั้นกำลังอยากรู้อยากลอง และมักจะให้ความสนใจกับอวัยวะเพศของตัวเองมากเป็นพิเศษ คนโบราณจึงสร้างปลัดขิกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และช่วยให้เด็กคนนั้นไม่หมกมุ่นเรื่องเพศตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเด็กบางคนที่ติดการเล่นอวัยวะเพศหรือช่วยตัวเองจนเป็นนิสัยตั้งแต่เด็ก อาจส่งผลกับการสมรรถภาพในการมีเพศสัมพันธ์ เช่นการหลั่งเร็ว หรือการติดสัมผัสของมือตัวเอง จนไม่อาจถูกกระตุ้นจากคู่รัก ได้ในอนาคต


@@@@

2. องค์จตุคามรามเทพ ‘ของดี’ จากนครศรีธรรมราช

หนึ่งในวัตถุมงคลที่กลายเป็นปรากฏการณ์หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย มีรากความเชื่อว่า "จตุคามรามเทพ" หมายถึง เทพรักษาวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช สององค์คือ ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ ซึ่งเดิมในความเชื่อของศาสนาพราหมณ์เป็นเทพชั้นสูง และมีอยู่ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่เมื่อภูมิภาคแถบอุษาคเนย์นี้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาเข้ามา ท้าวขัตตุคาม และ ท้าวรามเทพ จึงถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเทวดารักษาพระบรมธาตุ และเปลี่ยนชื่อให้เป็นมงคล เป็น ท้าวจตุคาม และสถิตอยู่บนที่บานประตูทางขึ้นพระบรมธาตุ ในปี พ.ศ.2530

และเมื่อปี พ.ศ. 2550 จากข่าวการพระราชทานเพลิงศพของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" อดีตนายตำรวจมือปราบ ผู้ร่วมการจัดสร้างวัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นแรกขึ้น และทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘จตุคาฯฟีเวอร์’ อย่างแท้จริง ม่ีพระเกจิอาจารย์หลายองค์ทำพิธีปลุกเสกองค์จตุคามฯขึ้นมาหลายร้อยรุ่น บางรุ่นเป็นที่นิยมถึงขนาดข่าวการทำร้ายร่างกายเพื่อแย่งชิงให้เห็นอยู่บ่อย ๆ

โดยเฉพาะวัตถุมงคลจตุคามรามเทพรุ่นแรก ที่ผลิตออกมาในปี พ.ศ. 2530 มีราคาพุ่งไปถึงกว่า 40ล้านบาท จากเดิมที่มีราคาเพียง 49 บาทเท่านั้น! ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดความนิยมลงไปในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี

@@@@

3. กุมารทอง ให้คุณให้โทษขึ้นอยู่กับวิธีการเลี้ยงดู

ถึงแม้จะไม่ได้มีช่วงไหนที่ได้รับความนิยมจนถึงระดับปรากฏการณ์อย่างองค์จตุคามรามเทพ แต่กุมารทองก็ยังเป็นหนึ่งในเครื่องรางของขลังที่ช่วยเสริมดวงเรื่องความมั่งคั่งร่ำรวย ที่อยู่คู่สังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน

แรกเริ่มเดิมทีกุมารทองมาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่หรือที่เรียกว่าตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำพาวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก โดยต้องหาศพที่ตายทั้งกลม ประกอบพิธีกรรมผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ต่อมาการสร้างกุมารทองจากศพทารกทำได้ยากขึ้น จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะ มาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิต ตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา

เมื่อมีผู้รับกุมารทองไปไว้ในการดูแล หากต้องการได้รับประสิทธิภาพของกุมารทองสูงสุด ผู้นั้นจะต้องเลี้ยงกุมารทองอย่างดีเหมือนลูกของตัวเอง ต้องให้ข้าวน้ำเซ่นสรวงด้วยของเล่น พูดคุยด้วยไม่ให้เหงา หากทำได้ดีกุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ อาทิ ช่วยคุ้มครองป้องกันเจ้าของและครอบครัวจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น ไปจนถึงเตือนภัยล่วงหน้าอีกด้วย และจะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้ายและศัตรูไม่ให้มากล้ำกราย แต่หากไม่เลี้ยงดูให้ดีก็อาจจะถูกกุมารทองที่เลี้ยงไว้รบกวนหรือทำโทษจนกลายเกิดเรื่องไม่ดีต่าง ๆ นานากับคนนั้นไปได้เลย


@@@@

4. ลูกเทพ ปรากฏการณ์ที่จางหายไปอย่างรวดเร็ว

นับว่าเป็น ‘นวัตกรรม’ ทางเครื่องรางของขลังที่วิวัฒนาการต่อมาจากกุมารทองอีกทีหนึ่ง โดยมี ‘หมอแม็ค ขั้นเทพ’ เป็นคนสร้างกระแสขึ้นมาในปีพ.ศ. 2558 ที่เป็นผู้นำความเชื่อว่า สิ่งเหนือธรรมชาติที่สิงสู่อยู่ในตุ๊กตาจะดลบันดาลโชคลาภสวัสดิภาพต่าง ๆ มาให้ผู้ดูแล โดยมีจุดแตกต่างจากกุมารตรงที่ ต้องไม่ใช่แค่ตั้งไว้บนหิ้งพระ แต่ต้องพาพา ‘ลูกเทพ’ ติดตัวไปด้วยทุกที่ทุกเวลา

ความน่าสนใจของลูกเทพ อยู่ที่มีศิลปิน ดาราและคนในวงการบันเทิงหลายคน เป็นคนช่วยให้ลูกเทพกลายเป็นกระแสระดับชาติขึ้นมา ซึ่งเอาจริง ๆ เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่า บรรดาผู้ที่เลี้ยงลูกเทพเหล่านั้นได้ผลลัพธ์อย่างที่ใจตัวเองปรารถนาจริงหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ คือ ‘ธุรกิจ’ ผู้ผลิตตุ๊กตา, คนปลุกเสก, ไปจนถึงจนคนผลิตเสื้อผ้า เครื่องประดับ หนักข้อไปจนถึงมีเมนูอาหาร, สปา สำหรับลูกเทพโดยเฉพาะ นี่ล่ะ ที่ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายจริง ๆ

จากนั้นภาพที่เราเห็นคนพาลูกเทพไปตามห้างหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็กลายเป็นภาพลูกเทพราคาแพงที่ถูกนำไปทิ้งไปไว้ตาม ‘สุสาน’ เครื่องรางของขลัง ร่วมกับม้าลาย, ตุ๊กตาเสียกบาล,กุมารทอง ฯลฯ ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี

@@@@

5. ตะกรุดไลลา ส่วนผสมผสานระหว่าง ‘เครื่องรางของขลัง’, ‘แฟชั่น’ และ ‘ธุรกิจ’

เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ทำให้ความเชื่อเกี่ยวกับวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังเองต้องมีการปรับตัวให้กับเข้ายุคสมัยไปพร้อมๆ กัน อย่างที่เราเห็นได้จากการนำศาสตร์ลี้ลับของตัวเองมาสร้างธุรกิจ ‘เบอร์มงคล’ ที่ถึงขนาดผู้ให้บริการหลักยังต้องมีบริการนี้เอาไว้รองรับลูกค้า, มีหินนำโชคที่เพิ่มมูลค่าให้กับ ‘เคสโทรศัพท์’ ธรรมดาให้กลายเป็นสินค้าราคาแพง หนักข้อไปจนถึงการมี ‘ร่างทรงออนไลน์’ ที่ทรงเจ้าผ่านสัญญาณไว-ไฟให้เห็นกันแบบสดๆ ฯลฯ

ล่าสุดก็คือมีอีกหนึ่งนวัตกรรมมงคล ที่กำลังเป็นกระแสในวงการแฟชั่น ซึ่งปกติเป็นวงการที่เราได้เห็นความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังน้อยที่สุด เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่อาจจะไปด้วยกันได้ยากอยู่สักหน่อย

แต่ตอนนี้เราได้เห็นสินค้าจาก LEILA AMULETS แบรนด์จิวเวลรีน้องใหม่ที่นำเหล่าเครื่องรางจากวัดดังทั่วสารทิศมาปรับเปลี่ยนเซตติ้งให้ดูร่วมสมัยขึ้น โดยตั้งแต่ *‘ตะกรุดไลลา’ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไปจนถึงปี่เซี้ยะ, แมลงภู่คำหลวง, หน้าพรานจิ๋ว, ปรอทกรอ, ยันต์, สายสิญจน์ และสารพัดเครื่องรางของขลังหลากชนิดที่พอจะมาได้ มาดัดแปลงเป็นเครื่องประดับนานาชนิดที่ทั้งสวยและดูขลังไปในตัว

ความน่าสนใจของตะกรุดไลลาอยู่ที่ความสวยงามที่ไม่แพ้เครื่องประดับแฟชั่นอื่นๆ สามารถสวมใส่ติดตัวไปได้ทุกที่โดยไม่ถูกมองว่าเป็นประหลาดหรือน่ากลัว ล่าสุดก็มีคนในวงการบันเทิงหลายคนที่สรรหาเครื่องรางเล่านี้มาใส่ ตั้งแต่ “ลิซ่า วงแบล็กพิงก์” ไอดอลวงเกิร์ลกรุปจากเกาหลี ที่ก็มีเครื่องรางชิ้นนี้ติดตัว รวมทั้ง “ขันเงิน เนื้อนวล” และ “โต้ง TwoPee” แรปเปอร์ระดับประเทศที่ตามปกติน่าจะอยู่ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้มากที่สุด ก็ยังมีตะกรุดไลลาไว้เสริมความงามและเพิ่มความมงคลติดตัวด้วยเหมือนกัน


@@@@@@

เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ว่าอนาคตของ ‘เครื่องรางของขลัง’ ในประเทศไทยจะถูกพัฒนาไปในรูปแบบใดต่อไป ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็น รถยนตร์รุ่นแคล้วคลาด, โทรศัพท์มือถือที่ผ่านการปลุกเสก, เกมมิ่งเกียร์ที่มีสรรพคุณดึงดูดชัยชนะในอนาคตก็เป็นได้

ท้ายที่สุดไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็จะยังคงอยู่คู่กับ‘มนุษย์’ ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย และใครจะศรัทธาในสิ่งใดก็ล้วนเป็น ‘วิจารณญาณส่วนบุคคล’ ที่เราไม่อาจไปตัดสิน ตราบใดที่ความเชื่อเหล่านั้นยังอยู่ในกรอบไม่ล้ำเส้นความเชื่อของคนอื่น และคนๆ นั้นไม่งมงายจนเสียทรัพย์ และอยู่ในพฤติกรรมที่ดี เหมาะสมกับคำว่า ‘มงคล’ ที่ควรได้รับนั้นจริง ๆ



อ้างอิง :-
https://siammongkol.wordpress.com/2013/09/15/เครื่องรางของขลัง/
https://siammongkol.wordpress.com/
https://www.thairath.co.th/content/1012685
https://www.thairath.co.th/content/
https://cartoon.mthai.com/news/53449.html
https://www.vogue.co.th/vogue-projects/article/leila-amulets-voguetalks
https://th.wikipedia.org/wiki/จตุคามรามเทพ

ภาพประกอบ : http://oknation.nationtv.tv  , www.pptvhd36.com  , ดุสิตโพล , Facebook Leila_Amulets
ขอบคุณ : https://today.line.me/th/pc/article/แค่ขลังไม่พอต้องสวยด้วย+วิวัฒนาการเครื่องรางของขลัง+“ไอเทมศักดิ์สิทธิ์”+หรือ+“กระแสแฟชั่น”-K5vLq0/?utm_source=oa&utm_medium=all&utm_campaign=1901290642&utm_term=3
By Another View , เผยแพร่ : 29 มกราคม 2562 เวลา 20.00 น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 31, 2019, 06:37:22 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ