ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จารึกหน้าหนึ่งการศึกษาสงฆ์ ถามตรงถึงผู้บริหารช่องดัง  (อ่าน 1063 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



จารึกหน้าหนึ่งการศึกษาสงฆ์ ถามตรงถึงผู้บริหารช่องดัง

สัปดาห์นี้ไปติดตามจารึกหน้าหนึ่งการศึกษาสงฆ์ไทย และถามตรงถึงผู้บริหารทีวีช่องดัง ตั้งคำถามแบบมีคำตอบเพื่อให้เกิดประเด็นสาธารณะ...มิใช่มืออาชีพ

ในขณะที่วงการคณะสงฆ์กำลังปลื้มปีติอยู่กับพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม ที่สภานิติบัญญัติเพิ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีก้อนกรวดธุลีเล็กๆ มารบกวนเท้าเวลาเดินบิณฑบาตเล็กน้อย เรื่องอะไรเดียวมาเล่าตอนท้าย แต่ขอยกเรื่องความสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ก่อน

พระราชบัญญัตินี้สำคัญอย่างไร เดิมทีผมเองก็ไม่เข้าใจว่า...ทำไมต้องมีพระราชบัญญัติฉบับนี้

เท่าที่ทราบจาก พระราชวรมุนี รศ.ดร. (พล อาภากโร ป.ธ.9) รองประธานอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ท่านเล่าว่า “พระราชบัญญัติฉบับนี้ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของการศึกษาคณะสงฆ์ไทยเพราะมันครอบคลุมการศึกษาคณะสงฆ์ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านพระปริยัติสามัญ ด้านบาลี และด้านนักธรรม”


@@@@@@

มันครอบคลุมอย่างไร ก็คือว่าเดิมทีคณะสงฆ์จัดการเรียนการสอนกันเองแบบวัดๆ เจ้าอาวาสจ่ายเงินเดือนตามอารมณ์ให้ครูสอน รุ่นพี่สอนรุ่นน้อง หนังสือเล่มหนึ่งใช้รุ่นพี่ยันรุ่นน้อง รัฐบาลไม่รับรองวุฒิ คือ จัดการแบบครึ่งผีครึ่งคน แบบดันทุรัง ถ้าจะว่าไปแล้วก็คือ ครูก็ไม่มีคุณภาพ ระบบการเรียนการสอนก็ไม่มีคุณภาพ ครูผู้สอนก็ไม่มีอนาคต นักเรียนก็ไร้อนาคต เหมือนดั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง 2 แห่งในอดีต

อนาคตต่อจากนี้ไปทั้งอัตรากำลัง ตำแหน่ง เงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะ เงินค่าตอบแทน ค้าจ้าง สวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นมาครบเหมือนกับหน่วยงานภาครัฐทั่วไป พระเณรเมื่อจบออกไปก็ได้วุฒิการศึกษาเหมือนทางโลก การบริหารจัดการของศาสนศึกษา สำนักเรียน โรงเรียนพระปริยัติธรรมก็มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น เมื่อสภาพแวดล้อมบริบทเอื้อแบบนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีศาสนทายาทที่มีคุณภาพ มีความรู้และมีทักษะทางวิชาการในพระพุทธศาสนา เป็นชาวพุทธที่ดี มิใช่ชาวพุทธมุ่งแต่จับผิดพระ มิใช่ชาวพุทธที่หากินกับวัด มิใช่ชาวพุทธที่คิดแบบไพร่ขี้อิจฉาริษยา มิใช่ชาวพุทธที่เห็นแก่ตัวเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น

และทั้งมิใช่ชาวพุทธที่ไม่รู้จักบุญคุณผ้าเหลือง ทั้งหมดทั้งมวล ผมหวังว่าอีก 20 ปีต่อจากนี้เจ้าคุณพลและคณะสงฆ์คงจะได้เห็นภาพสังคมไทยเป็นสังคมที่มี “พุทธศาสตร์มั่นคง ดำรงศีลธรรม นำสังคมสันติสุขอย่างยั่งยืน” ตามที่พระคุณเจ้าและคณะสงฆ์คาดหวัง

@@@@@@

ส่วนก้อนกรวดที่มารบกวนเท้าเวลาเดินท่ามกลางความยินดีปรีดาและดีใจของวงการสงฆ์ พระภิกษุ สามเณรน้อยๆ ตอนนี้ก็คือว่ามีรายการทีวีช่องดังที่นำเด็กนักเรียน ครูผู้สอนและคอมเมนเตเตอร์ มาออกรายการ โดยตั้งประเด็นว่า “ยกเลิกวิชาพระพุทธศาสนาเป็นวิชาบังคับ” ผมไม่มั่นใจว่ารายการนี้จ้างบริษัทข้างนอกมาผลิตหรือช่องผลิตเอง ไม่มั่นใจว่าผู้บริหารสถานีได้ดูหรือเปล่า

ในฐานะผมเป็นโปรดิวเซอร์ทีวีมาเกือบ 20 ปี รายการนี้ดูการเชิญคนมาทุนคงหนา แต่พิธีกรไม่เก่ง แขกที่มาออกรายการไม่หลากหลาย แม้แต่คอมเมนเตเตอร์ก็ไม่เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาและการสอน โจทย์ที่ตั้งมีเป้าหมายคำตอบเพื่อให้เกิดประเด็นสาธารณะอยู่แล้ว เหมือนตั้งประเด็นว่า “วิชาการทหารควรยกเลิกหรือไม่แล้วไปถามเด็กฝึกทหาร” หรือตั้งคำถามว่า “พระสงฆ์ควรรับเงินหรือไม่” แล้วไปถามคุณไพบูลย์หรืออ.สุจินต์แสดงความคิดเห็น อันนี้เรารู้คำตอบอยู่แล้ว


@@@@@@

วิชาการพระพุทธศาสนามันเป็นวิชาการเพื่อชีวิต เพื่อกล่อมเกลาดัดนิสัยให้คนเป็นคนดีมีศีลธรรมไม่เอาเปรียบชาวบ้าน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้สังคม มิใช่วิชาปล่อยใจให้ไหลไปตามความต้องการของกิเลสแบบวิชาการทางโลกดั่งปัจจุบัน

ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนไม่มีใครชอบถูกบังคับ ไม่มีใครชอบให้ใครมากำหนดชีวิตเรา แต่สังคมโดยรวมมันต้องมีกรอบ ต้องมีระเบียบ มีวินัย มีกฎหมาย ไม่อย่างนั่นมันก็ยุ่งเหยิง ถามตรงๆ ไปยังผู้บริหารช่องดัง ชอบไหมที่รัฐบาลจะให้ไปควบรวมกับทีวีอีกช่อง ชอบไหมรัฐบาลจะตัดเงินภาษีจากเหล้าบุหรี่ที่ปีหนึ่งได้รับจัดสรรมา 2 พันกว่าล้านบาท แหม่...คำตอบไม่ต้องตอบก็รู้อยู่แล้ว ตั้งคำถาม...แบบมีคำตอบเพื่อให้เกิดประเด็นสาธารณะแบบนี้มิใช่มืออาชีพ.



.......................
คอลัมน์ : ริ้วผ้าเหลือง
โดย “เปรียญ10” : riwpaalueng@gmail.com
ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/691683
พุธที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 11.00 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ