ท่านพ่อลี ธัมมธโร สอนเรื่องนิพพาน
ครั้งหนึ่ง ท่านพ่อลี กล่าวข้อธรรมเรื่องนิพพาน ด้วยหวังประโยชน์ต่อชนหมู่มากไว้ว่า
“…ที่ว่านิพพาน ๆ นั้นมิใช่อื่น ก็คือดวงจิตใจธรรมดาของเรานี่เอง แต่พ้นไปจากอาสวะทั้งปวงได้แล้ว คือ ถึงธรรมชาติจิตเดิม ธรรมชาติของเขาย่อมเป็นของไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย…"
“พระอรหันต์ที่เป็นผู้รู้แจ้งโลก ละโลกขาดเป็นสมุจเฉทปหานได้แล้วนั้น ถ้าขันธ์ยังปรากฏแก่โลกอยู่ก็เป็นขันธวิสุทธิ หมดบุญหมดบาป เพราะดวงจิตมิได้เข้ายึดมาเป็นกรรมสิทธิ์ จิตพ้นแล้วจากอาการของขันธ์คือสังโยชน์ 10 ดับสนิท มิได้มาพัวพันดวงจิตได้อีกแล้ว"
“ที่เรียกว่า’พระนิพพานธรรม’ คือ จิตผ่องใส ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มาปกปิดอีก ได้ถึงธรรมชาติจิตเดิมอันสว่างไม่มีสิ่งที่จะเปรียบได้ เมื่อความสว่างอันนั้นเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำลายความสว่างของโลกทั้ง 3 ให้หายไปหมด ไม่ปรากฏว่ามีภพนั้นภพนี้อีกเลย เมื่อจิตของตนยังไม่พ้นไปจากกิเลสแล้ว ย่อมเห็นว่าทั้ง 3 ภพมีความว่างอยู่หรือเป็นสุขอยู่"
@@@@@@
“เมื่อใดใจของตนเข้าถึงโสดาบัน ขั้นแรก แลเห็นความสว่างของโลกทั้ง 3 มืดไปบ้างหรือให้ปรากฏมีสีแดงไปบ้าง
- ถ้าเข้าถึงสกิทาคามี ขั้นที่สองจะปรากฏความสว่างของโลก 3 ให้สีแดงหรี่ลงทุกที
- ถ้าเข้าถึงอนาคามีขั้นที่สาม จะปรากฏความสว่างของโลก 3 ให้มืดมัวลงหรี่ลงทุกทีแต่ยังเหลืออยู่
- ถ้าเข้าถึงอรหัตตมรรคในขั้นที่สี่ จะปรากฏความสว่างของโลก 3 มัวมืดหรี่ลงเกือบจะดับ"
“พอศีล สมาธิ ปัญญาเข้าถึงสันนิบาตในดวงจิตได้แล้ว อวิชชากับอริยมรรคเบื้องบนดับพร้อมกันแล้ว มิได้ปรากฏเลยว่าโลกมีลักษณะ สี สันฐานอย่างไร อยู่ที่ไหน แดนใด มีแต่ใสสว่างกระจ่างแจ้งคือพระนิพพาน โลกทั้งหลายละลายสิ้นด้วยอรหัตตมรรคและผลนี่ย่อมเป็นของจริงอยู่ แต่ไม่รู้เพราะความหลงความมืด ความสว่างอันนี้กำจัดความมืดของโลกให้หมดไป จะปรากฏได้แต่นิพพานธรรม ความสว่างของนิพพานบังคับและปิดความสว่างของโลกให้หมดไป"
“…เปรียบประหนึ่งว่าแสงอาทิตย์ส่องโลกให้สว่างกลางวันในหมู่มนุษย์และสัตว์ เมื่อแสงอาทิตย์แผ่รัศมีกำลังเต็มที่แล้ว ย่อมขจัดทำลายเสียซึ่งความสว่างของดวงดาราคือดาวย่อมดับไปนี้ อุปมาฉันใด พระนิพพานธรรมย่อมกำจัดความสว่างของโลกก็ฉันนั้น"
@@@@@@
“…เปรียบเหมือนแสงเทียนที่มนุษย์ติดไฟขึ้น ย่อมทำความสว่างขึ้นแก่ตา ถ้าหากมีแสงตะเกียงอันสว่างกล้ามาปรากฏในที่ใกล้แห่งแสงเทียน แสงเทียนนั้นย่อมไม่ปรากฏเสียเลย ถ้าผู้ที่ไม่ได้สังเกตจริง ๆ แล้ว จะเห็นว่าแสงเทียนไม่มีเลย แต่ที่จริงแสงเทียนนั้นคงมีแสงสว่างอยู่ตามเดิม แต่มนุษย์มิได้เอาใจใส่ในแสงเทียนนั้นเลยนี้แลฉันใด"
“ดวงจิตที่เข้าถึงพระนิพพานธรรมอันสว่างย่อมกำจัดแสงพระอาทิตย์ แสงพระจันทร์ และฤทธิ์เดชสวรรค์ มาร พรหม ยมโลก มิให้ปรากฏขึ้นในใจได้ เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่า “พระนิพพานสูญ” คือไม่ปรากฏโลก 3 เป็นอารมณ์เลย คือใจมิได้เข้าสัมปยุต 3 นั้นเอง คือสูญจากโลกต่างหาก ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกแล้วฉันนั้น"
“พระนิพพานเป็นของที่แท้ไม่แปรผัน เสื่อมไม่เป็น มีอยู่คงที่อย่างนั้น แต่ผู้ที่จำเหตุให้รู้เห็นพระนิพพานไม่มี"
“…ความเกิด แก่ เจ็บตายมีอยู่ตราบใด พระนิพพานก็มีอยู่ตรงนั้น"
“…เพราะความไม่เกิดก็มาจากเกิด ความไม่ตายก็ฝังอยู่ที่ความตายนั้นเอง"
@@@@@@
“พระนิพพานไม่ถอยไปถอยมา แต่ผู้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถอยออก ถอยเข้า เปรียบประหนึ่งว่า มนุษย์ที่ไปยังหัวเมืองหนึ่ง เมื่อตนเดินไปถึงครึ่งทางก็กลับมาเสียแล้ว ไปอีกเดินกลับไปกลับมาอยู่เช่นนั้น ควรจะถึงใน 30 วัน จะเดินอยู่สัก 3 ปีก็ไม่ถึง ถ้าจรไปไม่ถึงแล้ว ยังจะต้องบอกคนอื่นอีกว่าเมืองนั้นไม่มี เช่นนั้นเป็นความผิดอย่างมากทีเดียวฉันใด ผู้ปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถอยไปถอยมาอยู่ ไม่รู้แจ้งความจริงแล้วยังมาประกาศกับคนอื่นอีกว่า พระนิพพานสูญไม่มี เสื่อมไปหมดแล้ว เพราะพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ดังนั้นผิดจากความจริงมาก"
“เปรียบเหมือนพื้นที่ บิดา มารดาพาทำนามาเคยได้ผลดีเสมอ แต่ถ้าหากว่าบิดามารดาตายไป ความขี้เกียจของตนเกิดขึ้นไม่ทำแล้ว ความอดจะต้องมี ถ้าอดแล้วเราจะว่าบิดามารดาเอาข้าวหรือไร่นาไปด้วยได้ไหม เหล่านี้ฉันใด"
“พระนิพพานมีอยู่ แต่ตนไม่ประกอบเหตุขึ้นยังจะมาตู่อีก จะมีโทษสักเพียงไร นึกดูเอาเถิด ถ้าเราไปไม่ถึง หรือไม่รู้ ถ้าปฏิบัติเข้าจริง ๆ จะเห็นว่าโลกนี้คลุกคลีไปด้วยอสรพิษและกองเพลิงทั้งนั้น ถ้าตนมีญาณแล้วจะแลเห็นปราสาทและวิมานของเทวดาราวกับว่าบ้านคนจัณฑาลไป ย่อมไม่ยินดีที่จะอยู่เพราะได้รู้พระนิพพานแล้ว” ที่มา : ชุดสุดยอดสงฆ์ 2 : ท่านพ่อลี ธัมมธโร – ดวงพร ตรีบุบผา สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
Secret Magazine (Thailand)
ขอบคุณ :
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/110919.htmlBy ying ,12 September 2018