ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สุญญตาทาน : ทานแห่งความว่างที่ไม่ต้องมีผู้ให้และผู้รับ  (อ่าน 886 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



สุญญตาทาน : ทานแห่งความว่างที่ไม่ต้องมีผู้ให้และผู้รับ โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวถึงเรื่อง ” สุญญตาทาน ” ไว้ใน “ทานกถา หลักปฏิบัติเกี่ยวกับทานบริจาค” ท่านแสดงธรรมนี้ไว้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2514 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่อาจเข้าใจยากสักหน่อย เพราะเป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง สลายความมีให้กลายเป็นความไม่มี แต่อย่างไรก็ตามสุญญตาทานเป็นทานประเภทหนึ่งที่ท่านพุทธทาสภิกขุอธิบายไว้อย่างน่าสนใจมาก

ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า สุญญตาทานเป็นคำที่ไม่มีปรากฏในพระไตรปิฎก เป็นศัพท์ที่ท่านตั้งขึ้นมา เป็นความสามารถเฉพาะตนที่กลายเป็นเอกลักษณ์ของท่าน คือการเล่นคำกับความหมาย เพื่อให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในโลกียธรรม (ธรรมะระดับโลก) และโลกุตตรธรรม (ธรรมะระดับเหนือโลก)

โดยความหมายของ “ทาน” แปลว่า “ให้” มักมาคู่กับคำว่า “บริจาค” แต่ท่านพุทธทาสภิกขุกล่าวว่าตามจริงแล้ว ทาน และ บริจาค มีความหมายที่ต่างกัน บริจาค หมายถึง “การสละออกไปรอบด้าน” (จาคะ แปลว่า สละ ส่วนบริ แปลว่า รอบด้าน) ตรงข้ามกับคำว่า “ปฏินิสสัคคะ” แปลว่า “ให้คืน” หากเข้าใจความหมายศัพท์พระ 3 คำนี้ จะทำให้เข้าใจเรื่องสุญญตาทานได้ไม่ยาก

สุญญตาทานคือการบริจาคตัวกูของกูออกไปเสียให้หมด เป็นทานที่ไม่ต้องการปฏิคาหกคือไม่ต้องการผู้รับทาน และในทางกลับกันทานนี้ไม่ต้องมีผู้ให้ทานเช่นกัน หากทำทานนี้สำเร็จจะปราศจากตัวกูของกูอย่างแน่นอน พอนึกถึงคำว่า บริจาค ขอให้คิดว่า “เป็นการผลักออกไป หรือซัดออกไปให้ไกล ๆ“ เอาออกไปเพื่อให้เกิดความว่างขึ้น

@@@@@@

ท่านพุทธทาสภิกขุแบ่งขั้นตอนการปฏิบัติสุญญตาทานไว้ 4 ขั้นด้วยกันดังนี้

ขั้นที่ 1 เรียกว่า “สละมานะทิฏฐิ” หมายถึง “สละความไม่ยอมคนอื่น หรือความจองหองออกไป”

ขั้นที่ 2 เรียกว่า “สละอัตตนียา” หมายถึง “สละความเห็นแก่ตัว” เห็นว่าเป็นของกู ๆ ลองนึกเสียงของนกเขาที่พ้องกับคำว่า “ของกู” ดูสิ “ของกู ๆๆๆๆๆๆ” แล้วลองคิดดูว่าถ้าเอาแต่คิดและพูดแบบนี้ก็ไม่ต่างจากคนบ้า

ขั้นที่ 3 เรียกว่า “สละอัสมิมานะ” หมายถึง “ตัวกูละตัวกู” ตรงกับ “จิตที่ตื่นรู้ละอัตตา” ถ้าสามารถละ 3 ขั้นแรกได้ก็ไม่ต่างจากเข้าสู่สภาวะแห่งนิพพาน

ส่วนขั้นที่ 4 เรียกว่า “สละนิพพาน” หมายถึง เมื่อสละอัสมิมานะ หรือละอัตตาได้แล้ว ย่อมไม่ต่างจากการกลายเป็นความว่าง เมื่อเป็นความว่างก็จะเข้าสู่ขั้นที่ 4 คือนิพพาน แต่อย่างไรก็ตามการไม่ยึดติดในนิพพานก็จะทำให้นิพพานกลายเป็นความว่าง กลายเป็นสุญญตาอย่างแท้จริง ขั้นนี้อาจสร้างความสงสัยอยู่ไม่น้อย


@@@@@@

ตามความเข้าใจโดยทั่วไป นิพพานเป็นความว่าง ไร้สภาวะอยู่แล้ว จะให้นิพพานว่างอีกได้อย่างไร ซึ่งเข้าใจว่าการที่ท่านพุทธทาสภิกขุเพิ่มขั้นที่ 4 ขึ้นมา เพราะต้องการให้เลิกยึดติด (อุปาทาน) ในนิพพาน พอเราคิดว่าจะไปสู่พระนิพพาน ทำให้นิพพานกลายเป็นสถานที่ หรือภพขึ้นมา ทั้งที่นิพพานเป็นภูมิหนึ่งที่ไม่มีรูปร่างเท่านั้น

ท่านพุทธทาสภิกขุพยายามสลายเรื่องการยึดติดตั้งแต่เรื่องของอัตตา (ตัวกูของกู) จนถึงการสลายพระนิพพาน เพื่อให้กลายเป็นพระนิพพานที่แท้จริง

หากจะให้สรุปที่ง่ายดาย คงต้องพิจารณาที่ศัพท์บัญญัติของท่านพุทธทาสภิกขุ สุญญตาทานเมื่อแยกแยะแล้วจะพบว่า ทาน แปลว่า ให้ ส่วนสุญญาตา แปลว่า ความว่าง พอมารวมกันจึงมีความหมาย “การให้ความว่าง” เมื่อปฏิบัติตาม 3 ขั้นแรก จิตเกิดปัญญาสามารถสละตัวกูของกูออกไปได้อย่างง่ายดาย เมื่อไม่มีอัตตา กลายเป็นความว่าง ความทุกข์ก็จะไม่มีอีกต่อไป

 

ที่มา : ทาน ศีล ภาวนา โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
ภาพ : https://pixabay.com
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/157570.html
By nintara1991 ,2 June 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ