ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องจริงจากเรือนจํา ความในใจของผู้ต้องขัง ผู้ใช้บทสวดมนต์กล่อมเกลาจิตใจ  (อ่าน 775 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เรื่องจริงจากเรือนจํา ความในใจของผู้ต้องขัง ผู้ใช้บทสวดมนต์กล่อมเกลาจิตใจ

ในช่วงชีวิตคนเรา ผมเชื่อแน่ว่าหลายท่านคงจะประสบพบเจอ “ปัญหา” แทบทุกวัน แต่ปัญหาของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไป บางท่านเมื่อแก้ปัญหาไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือ “หนีปัญหา” แต่สิ่งที่จะตามมาจากการหนีปัญหาคือ “ตัวปัญหา” ซึ่งเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ไม่อยากพบเจอ แต่ถ้าเราใช้สติในการแก้ รับรองว่า “ปัญหา” ก็จะไม่เกิดขึ้น เรื่องจริงจากเรือนจำ

เรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมอยากให้คุณผู้อ่านได้อ่าน เผื่อว่าจะมีประโยชน์ในยามที่คุณต้องพบเจอ “ปัญหา” และต้องการหาทางแก้ไข

เช้าวันนั้นเป็นวันที่ 17 กันยายน ผมจะต้องออกไปติดต่องานกับลูกค้าตามปกติ ผมตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมด้วยภารกิจที่จะต้องปฏิบัติทุกวัน คือการไปส่งลูกที่โรงเรียน โดยมีภรรยาของผมเป็นผู้ช่วยที่แสนดี เวลาไปส่งลูกที่โรงเรียน ผมจะกอดลูกแล้วจูบลูกที่หน้าผากทุกครั้ง

ในวันนั้นฝนตกหนักมาก เหมือนจะเป็นลางบอกเหตุ แถมภรรยาของผมยังพูดอีกว่า

“วันนี้ฝันไม่ค่อยดีเลย ฝันว่าฟันหัก และลูกบอกด้วยว่าลูกตกเหว ไม่มีใครช่วยเลย”


@@@@@@

ผมฟังแล้วก็ไม่ได้ฉุกคิดอะไร วันนั้นฝนตกทั้งวัน ทําให้น้ำท่วมทางเข้าหมู่บ้าน การสัญจรเข้าออกลําบากมาก พอได้เวลาเลิกเรียนผมต้องขับรถไปรับลูกที่โรงเรียน แต่วันนั้นฝนที่ตกลงมาทําให้น้ำท่วมทางเข้าโรงเรียนของลูกสูงมาก

ด้วยความเป็นห่วงลูก ผมตัดสินใจฝ่าน้ำที่ท่วมสูงเกือบครึ่งคันรถเข้าไป ผมขับรถไปถึงหน้าโรงเรียนของลูก วินาทีนั้นผมถูกตํารวจชุดสืบสวนขับรถมาประกบและขอตรวจค้น ผมไม่ได้ขัดขืนอะไร สิ่งแรกที่ผมได้ยินจากปากเจ้าหน้าที่ตํารวจคือ “คุณมีหมายจับ” ในเวลานั้นเป็นเวลาที่ลูกของผมเลิกเรียนพอดี วินาทีนั้นผมรู้ถึงปัญหาที่ผมเคยก่อไว้ และผมก็หนีปัญหานี้มาตลอด จนในที่สุดตัวปัญหาคือผมก็ต้องหมดอิสรภาพ

ในขณะนั้นลูกของผมเดินลงมากับครูประจําชั้น ผมเองต้องทําอาการเป็นปกติ ไม่ให้ลูกตกใจ และบอกเขาว่า “เดี๋ยวป๊ากับหนูต้องนั่งรถไปกับเพื่อนป๊านะคะ”

ตอนนั้นในใจผมพูดกับตัวเองตลอดว่า ต้องไม่แสดงความตกใจให้ลูกเห็น ขณะเดินทางไปยังสถานีตํารวจ ตอนที่อยู่ในรถผมกอดลูกแน่น แต่ก็ไม่กล้าบอกอะไรเขา

ลูกของผมพูดขึ้นมาว่า “ป๊าคะ คุณครูสอนว่าถ้าเกิดเหตุร้ายให้กดโทรศัพท์เลข 191”

@@@@@@

ผมเองได้ยินคําพูดของลูกที่แสดงถึงความไร้เดียงสาแล้วหัวใจของผมแทบแตกสลาย ผมรวบรวมสติแล้วรีบโทรศัพท์แจ้งให้ภรรยาที่กําลังเลี้ยงลูกของผมอยู่อีกหนึ่งคนทราบข่าวร้าย ผมอธิบายให้เธอฟัง เธอตกใจและร้องไห้ออกมา เพราะภรรยาของผมไม่รู้เรื่องที่ผมก่อไว้มาก่อน

หลังจากที่เดินทางมาถึงสถานีตํารวจ ภรรยาของผมและลูกน้อยอีกคนก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน อันที่จริงคดีของผมในขณะนั้นสามารถยอมความกันได้ แต่เจ้าทุกข์ของผมไม่ยอมความ คงเป็นเพราะผมหนีปัญหามาหลายปีแล้ว และคงเป็นเพราะความโกรธผสมด้วยความแค้นที่เขาต้องตามตัวผมมาตลอด ผมมองดูลูกด้วยความสงสารและเป็นห่วง ลูกเรียกให้ผมกลับบ้านด้วย แต่ผมต้องหาเหตุผลบอกเขาไปว่า “ป๊าต้องไปทํางานกับเพื่อน เดี๋ยวป๊าจะตามกลับไป”

ขณะนั้นเราไม่สามารถหาหลักทรัพย์อะไรมาขอยื่นประกันตัวได้ ผมจึงตัดสินใจบอกให้ลูก ๆ และภรรยากลับบ้านไปก่อน หลังจากที่ภรรยาของผมและลูก ๆ เดินจากไป ผมเองแทบใจสลาย ทั้งสับสนและเครียด หลังจากนั้นผมก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และศาลได้ลงโทษผมตามประมวลกฎหมายมาตราที่ผมกระทําผิด ผมจึงถูกส่งเข้าเรือนจําในเวลาต่อมา

@@@@@@

ในช่วงระยะเวลา 1-3 เดือนแรกที่อยู่ในเรือนจํา ผมยังไม่สามารถปรับใจให้ชินกับสภาพความเป็นอยู่ได้ ผมคิดมากและสับสนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับผู้คนมากมายหลากหลาย ผิดแผกแตกต่างไปจากสังคมปกติที่ผมเคยอยู่ ผมเริ่มไม่สบาย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียดมาก และแอบร้องไห้คิดถึงลูกทุกคนจนถึงขนาดคิดฆ่าตัวตาย แต่พอเวลาผ่านไป…เวลาเป็นตัวช่วยเยียวยาได้เป็นอย่างดี บวกกับกําลังใจจากพ่อแม่ ภรรยา และลูก ๆ ของผมที่ไม่เคยทอดทิ้งผมเลยจนทุกวันนี้

มีจดหมายจากภรรยาและลูก ๆ ของผมฉบับหนึ่งที่ทําให้ผมมีกําลังใจ ลูกสาวผมเขียนจดหมายแทรกมาในจดหมายของภรรยาผม เขาเขียนมาบอกว่า “หนูคิดถึงป๊ามากที่สุด และหนูเป็นลูกป๊า หนูต้องสู้ ๆ”

ขณะที่อ่านน้ำตาของผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ข้อความนี้ทําให้ผมมีกําลังใจมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ทําให้ผมต้องปรับแนวคิดใหม่ เพื่อผมจะได้กลับไปหาลูกและภรรยาที่รอผมอยู่

ในเรือนจํามีห้องสมุดและชมรมพระพุทธศาสนา ผมจึงขอสมัครเข้าชมรม และเริ่มค้นหาหนังสือธรรมะในห้องสมุดและได้พบบทสวดมนต์ของ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ท่านสอนให้ท่องบทสวดอิติปิโสเท่ากับอายุของตัวเอง  และแผ่เมตตา จะทําให้เรามีกําลังใจและขอสิ่งใดก็จะสมดั่งปรารถนา ผมจึงหาทางออกโดยปฏิบัติทุกวันโดยเริ่มสวดก่อนนอนและช่วงตีห้าทุกวัน

@@@@@@

ในการสวดผมจะต้องนับจํานวนไปด้วย จึงทําให้ผมใจจดใจจ่ออยู่กับบทสวดนั้นโดยจิตใจไม่วอกแวก และทําให้ผมรู้สึกสบายใจหายเครียด ภรรยาและลูก ๆ ของผมดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงแรงอธิษฐาน ตัวผมเองทุกวันนี้ต้องสร้างความหวังให้ตัวเองเพื่อจะได้ออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัว หากไม่มีลูก ๆ สองคนนี้ผมก็คงจะหาบทสรุปให้ชีวิตไม่ได้ ต้องขอขอบใจลูก ๆ ของผมที่ทําให้ผมอยู่มาได้

หากจะเปรียบ ลูกคนแรกของผมคงเปรียบเหมือนเป็น “สติ” อีกคนเปรียบเหมือน “ปัญญา” ส่วนภรรยาผมคืออาหารเสริมที่คอยเติมเต็ม

ผมเองยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจํา รอคอยวันพ้นโทษอย่างมีกําลังใจและความหวัง ผมยังรอคอยและยังคงรักษาสัญญากับลูก ๆ และภรรยาว่าจะกลับไปหาพวกเขาและเริ่มต้นกันใหม่ เราต้องรอคอยโดยใช้สติและไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผมตั้งใจว่าจะเป็น “ผู้ให้” เมื่อวันนั้นมาถึง เราสัญญากันไว้ว่า ถ้ามีปัญหา ต่อจากนี้ไปเราจะไม่หนีปัญหา เพราะเรามีประสบการณ์และแนวคิดที่ดีแล้ว

วันนี้และวันต่อ ๆ ไปเราจะสู้ไปพร้อม ๆ กัน
ขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่ที่เดินตากฝนมาเยี่ยมผม
ขอบคุณ ภรรยาและลูก ๆ พร้อมอาก๋ง อาโผล่ หลิน โก้ ตี้ นงค์ ที่คอยเป็นกําลังเสริมและเติมเต็ม
ขอบคุณ เจ้าทุกข์ของผมที่ให้ทั้งบทเรียนและประสบการณ์ที่ผมจะไม่ลืม และขออโหสิกรรมให้กันและกัน




ที่มา : นิตยสาร Secret
เรื่อง : ศิโรดล
Photo by Mike Lorusso on Unsplash
Secret Magazine (Thailand) ,IG @Secretmagazine
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/inspiration/159592.html
By ying ,15 June 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ